ต้องปฏิรูปประชาธิปไตยที่รากเหง้า

ภาษิตรัสเซียที่ว่า “คุณไม่สามารถซื้อภูมิปัญญาจากต่างประเทศมาใช้งานได้ นอกจากคุณจะต้องมีภูมิปัญญาของคุณเองอยู่แล้ว”
ทำให้คิดถึงกรณีของไทยว่าที่พยายามสั่งเข้าความรู้เรื่องประชาธิปไตยและการพัฒนาเศรษฐกิจมาจากประเทศพัฒนาอุตสาหกรรม แต่ยังคงล้มเหลวถึงทุกวันนี้ เพราะเราเก็บได้เฉพาะตัวรูปแบบ เช่น การเลือกตั้งผู้แทน แต่ไม่ได้พัฒนา “เนื้อหาสาระ” ความคิดประชาธิปไตยให้กับคนไทยอย่างแท้จริง
เช่น เราไม่ได้ปฏิรูปการศึกษาและทางสังคมวัฒนธรรมที่จะเปลี่ยนแปลงให้คนไทยรู้จักคิด วิเคราะห์ อย่างมีเหตุผล หาข้อมูลเชิงประจักษ์ เข้าใจ, สนใจเรื่องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคของปัจเจกชน และความสำคัญของการร่วมมือกันทำตามเสียงส่วนใหญ่ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมอย่างจริงจัง
ก่อนหน้าที่คนยุโรปจะปฏิวัติประชาธิปไตยในศตวรรษที่ 18 ได้ สังคมยุโรปได้ก้าวข้ามยุคศักดินาและบาทหลวงแนวคิดโบราณไป “ยุคเรืองปัญญา (Enlightenment)” หรือยุคแห่งเหตุผล ในช่วงราวหนึ่งร้อยปีก่อนเกิดการปฏิวัติประชาธิปไตยของชั้นนายทุนในอเมริกาและฝรั่งเศส ยุคเรืองปัญญาเป็นยุคสมัยที่นักเขียน, ปัญญาชนและประชาชนที่ตื่นตัว ตั้งข้อสงสัย คิดในเชิงเหตุผล เชิงวิทยาศาสตร์ ท้าทายความคิดเก่า สิทธิอำนาจของสถาบันดั้งเดิม ทั้งศาสนาคาทอลิก ระบบราชาธิปไตย เรียกร้องการปฏิรูปสังคมให้ประชาชนมีความอดกลั้น ใจกว้าง เลิกการคิดและทำแบบสุดโต่ง
จากยุคแห่งเหตุผลนี้เองที่ชาวยุโรปได้พัฒนาทั้งทางสังคม ความคิดอ่าน และทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ที่นำไปสู่ทั้งการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรม และการปฏิวัติทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จากระบบฟิวดัลเป็นระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมก่อนชนชาติอื่นๆ เมื่อราวสองร้อยกว่าไปที่แล้ว
ที่น่าสนใจคือ กระแสการเปลี่ยนแปลงในยุคเรืองปัญญาเกิดมาจากประชาชน ไม่ใช่การปฏิรูปของคนชั้นสูงจากบนลงล่าง ไม่ได้มาจากมหาวิทยาลัยของทางการ ที่แม้ยุโรปจะมีการตั้งมหาวิทยาลัยมาก่อนหน้ายุคนี้แล้ว แต่มหาวิทยาลัยยุคแรกๆ ก็ยังจารีตนิยม, ศาสนานิยม แม้จะมีกษัตริย์บางพระองค์ที่สนใจวิทยาการความก้าวหน้า การพัฒนาทางภูมิปัญญาอยู่บ้าง มีสมาคมราชบัณฑิตและสมาคมนักวิทยาศาสตร์ หรือนักคิดนักเขียนที่มีผลงานที่ทรงพลังที่มาจากครอบครัวคนชั้นสูง คนชั้นกลางที่มีบทบาท แต่ขณะเดียวกันมีนักคิดนักเขียน นักเคลื่อนไหวทางความคิด และมีการรวมกลุ่มประชาชนที่มาจากชาชั้นกลางระดับล่างมาก
การตื่นตัวแสวงหาชีวิตและสังคมที่มีเหตุผลของประชาชนยุโรปในยุคเรืองปัญญาเกิดขึ้นทั้งในร้านกาแฟ ร้านขายเหล้า หอพักคนงาน สมาคมช่างฝีมือ และสมาคมต่างๆ ซึ่งคนมีความสนใจเรื่องบางอย่างร่วมกันหรือใช้ร้านกาแฟ ร้านเหล้าเป็นที่นัดพบสังสรรค์กันหลังเลิกงาน การพิมพ์นิตยสารและหนังสือเริ่มแพร่หลาย และคนบางส่วนอ่านหนังสือกัน ทั้งซื้อเองและไปอ่านในห้องสมุดสาธารณะ ร้านกาแฟ ร้านเหล้า ที่มีนิตยสารให้ลูกค้าอ่าน ในยุคนั้นเป็นยุคที่เริ่มมีการส่งเสริมการรู้หนังสือ มีการพิมพ์หนังสือและการผลิตสินค้าแบบทุนนิยมได้มากขึ้น คนที่สนใจเริ่มมีเงินซื้อหนังสือหรือหาหนังสืออ่านกันมากขึ้น
แม้คนยุโรปส่วนใหญ่จะไม่ได้อ่านหนังสือปรัชญาหรือการเมืองของนักคิดนักเขียนผู้มีชื่อเสียงอย่าง วอลแตร, มองเตสกิเออร์, จอห์น ล็อค, รุซโซ่, ไอแซค นิวตัน, อาดัม สมิธ ฯลฯ แต่อย่างน้อยพวกเขาได้อ่านนิตยสารและหนังสือที่นักเขียนระดับกลาง ระดับล่างที่เขียนกันออกมาพอสมควรในยุคนั้น เนื้อหานิตยสารหนังสือเหล่านี้อาจไม่ดีหรือก้าวหน้านัก แต่ก็ส่งเสริมให้คนอ่าน คิดแบบเชื่อมโยงไปถึงเรื่องว่าทำอย่างไรชีวิตและสังคมของเราจะเจริญก้าวหน้าขึ้นในระดับหนึ่ง รวมทั้งในยุคนั้นมีการส่งเสริมการประกวดเรียงความ บากวี ฯลฯ อย่างแพร่หลาย มีประชาชนร่วมด้วยมาก ความตื่นตัวเรื่องการอ่าน การคิด การเขียนของประชาชนมีอิทธิพลต่อการปฏิวัติประชาธิปไตยในยุคต่อมา
หนังสือที่มีอิทธิพลทางความรู้ ความคิดชุดหนึ่งคือ ชุดสารานุกรมที่นักคิดนักเขียนชาวฝรั่งเศส ระดมนักคิดนักเขียนเก่งๆ มาช่วยกันเขียน เป็นการให้ความรู้สมัยใหม่แก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง เป็นหนังสือที่ขายดีและมีชื่อเสียงให้ความรู้ความคิดอ่านแก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง นอกจากเผยแพร่ในฝรั่งเศสแล้ว บทความ, หนังสือของนักเขียนฝรั่งเศสยังขยายไปในหมู่ผู้มีการศึกษาในประเทศยุโรปอื่นๆ ที่ถือว่าฝรั่งเศสคือผู้นำทางวัฒนธรรมในยุคนั้น การแปลหนังสือดีๆ ก็มีมากเช่นกัน
ในยุคปัจจุบัน ระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลก รวมทั้งของไทยด้วย ทำให้คนไทยยุคปัจจุบันได้รับการศึกษาข่าวสารจากโลกสมัยใหม่มากกว่าเมื่อ 3 ร้อยกว่าปีที่แล้วมาก แต่คนไทยเลือกรับจากตะวันตกเฉพาะรูปแบบการดำเนินชีวิตภายนอกมากกว่าที่จะรับเนื้อหาสาระความรู้ ความคิดอ่านระดับลึกของชาวตะวันตก ถึงจะแต่งตัวและใช้ชีวิตแบบชาวตะวันตก แต่ในแง่ความคิดความอ่านของ คนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันอาจยังมีความคิดความอ่านไม่ต่างจากคนในยุคมืด ยุคความเชื่อแบบงมงายของยุโรปเมื่อ 4-5 ร้อยกว่าปีที่มาแล้ว ยังไม่ก้าวหน้าไปถึงยุคเรืองปัญญาหรือยุคแห่งเหตุแห่งผลของยุโรปเลยด้วยซ้ำ
ที่ผมตั้งข้อสังเกตแรงแบบนี้ เพราะผมเห็นว่าคนไทยยังมีความเชื่อแบบเก่าๆ ด้วยศรัทธา อารมณ์ อคติ ความงมงาย ฯลฯ อยู่มาก มีการคิดวิเคราะห์ด้วยเหตุผล ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์แบบวิทยาศาสตร์น้อยมาก คนไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ชอบค้นคว้า คุยกันถกกันเรื่องชีวิต สังคม การเมือง วัฒนธรรม ฯลฯ สนใจใฝ่รู้เชิงวิทยาศาสตร์ค่อนข้างน้อย (แม้จะสนใจเทคโนโลยีแบบหาความบันเทิงมาก) คิดวิเคราะห์ไม่เป็น ระบบการสอนในโรงเรียนยังคงเป็นแบบท่องจำและฝึกทักษะเหมือนการศึกษายุคโบราณ โดยแทบไม่มีการพัฒนาเลย นอกจากการท่องจำองค์ความรู้ใหม่และฝึกทักษะใหม่บ้าง
ไทยพัฒนาทุนนิยมช้ากว่ายุโรป เพราะเราเป็นเศรษฐกิจแบบศักดินาและเกษตรพึ่งตนเองได้ ไม่มีเงื่อนไขความจำเป็นต้องปฏิวัติเป็นทุนนิยมอุตสาหกรรมเหมือนในยุโรป ประชาชนไทยส่วนหนึ่งเคยตื่นตัวอ่านหนังสือ แสวงหาความรู้และการเปลี่ยนแปลงสังคมในช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และ 14 ตุลาคม 2516 อยู่ระยะหนึ่งแต่กระแสไม่แรงพอ ความคิดสถาบันจารีตนิยมดั้งเดิมกลับมาครอบงำสังคมไทยได้อีก บางเรื่องถอยหลังด้วย ในปี 2557 เกิดกระแสความขัดแย้งทางการเมืองที่ทำให้ประชาชนอย่างน้อย 5-6 ล้านคน ออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่ฉ้อฉลและเรียกร้องการปฏิรูป แต่ตอนจบกลายเป็นกระแสแบบเฉพาะกิจ เฉพาะเรื่อง ที่ไหลวูบระยะสั้นเท่านั้น แม้ตอนนี้เราจะมีคนที่มีการศึกษาและส่วนที่สนใจการเมืองพอสมควร แต่แม้กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่สนใจ ไม่ตื่นตัวที่จะอ่านศึกษาค้นคว้าเรื่องการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังต่อเนื่อง
ถ้าคนไทยคิดจะพัฒนาประชาธิปไตยและปฏิรูปเศรษฐกิจการเมืองของประเทศให้ได้จริง ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ว่าจะรณรงค์ให้คนไทยทั้งประเทศก้าวข้ามพ้นยุคที่ค่อนข้างมืด งมงาย ล้าหลังเหมือนคนยุโรปเมื่อ 4-5 ร้อยปีที่แล้ว ไปสู่ยุคเรืองปัญญาหรือยุคแห่งเหตุแห่งผลที่ยุโรปเคยผ่านมาเมื่อ 3 ร้อยปี แล้วได้อย่างไร เราถึงจะมีทางปฏิรูปหรือปฏิวัติประเทศให้เป็นประชาธิปไตยและเจริญก้าวหน้าได้อย่างแท้จริง