New Normal : อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น

New Normal : อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น

ผมไม่รู้ว่าคำว่า “New Normal” เริ่มใช้กันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อไหร่ แต่มาสนใจเพราะผู้นำจีนใช้คำนี้บ่อยขึ้น

 จนกลายเป็น “วลีทอง” สำหรับอธิบายว่าทำไมผู้คนจึงไม่ควรคาดหมาย ว่าเศรษฐกิจของจีนจะต้องโต 10% อย่างที่เคยทำได้มายาวนาน

อะไรที่มันเคยเป็นเรื่องปกติ เมื่อเข้าสู่วงจรใหม่ บรรยากาศใหม่ และมีปัจจัยใหม่ ก็จะกลายเป็นเรื่องไม่ปกติ

คำว่า New Normal ทางการจีนใช้คำว่า 新常态 ซึ่งยังไม่เห็นใครแปลเป็นภาษาไทยอย่างเป็นทางการ ผมจึงถือวิสาสะเรียกมันว่า “ความปกติระดับใหม่”

หรือพูดง่าย ๆ คือของเก่าเคยดีอย่างไร ก็อย่าได้หวังว่าจะดีอย่างนั้นอีก

เป็นข้ออ้างสำหรับผู้นำประเทศที่ไม่ต้องการให้ใครมาวิพากษ์วิจารณ์ ว่าของเก่าทำไว้ดีกว่าที่ตนเองทำอะไรทำนองนั้น

New Normal ตีความได้อีกอย่างว่าอะไรที่เคย “ไม่ปกติ” บัดนี้กลายเป็น “เรื่องปกติ” แล้ว

อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็จะได้เห็นกันแล้วนี่แหละ

ความจริง นักธุรกิจและนักเศรษฐศาสตร์ใช้คำ New Normal อธิบายสถานการณ์การเงินและเศรษฐกิจหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2007-2008 และผลพวงจากช่วงเศรษฐกิจถดถอยระหว่างปี 2008-2012

หลังจากนั้น คำนี้ถูกใช้ในบริบทต่าง ๆ เพื่ออธิบายว่าอย่าได้มองข้ามความร้ายแรงของวิกฤตเศรษฐกิจเป็นอันขาด เพราะบางคนอาจพยายามวาดภาพให้เห็นว่าวิกฤตเศรษฐกิจนั้น ๆ เป็นเพียงแค่บาดแผลธรรมดาทั้ง ๆ ที่ความจริงมันอาจร้ายแรงถึงขั้นเข้ากระดูกเลยก็ได้

จึงต้องเรียกมันว่า New Normal หรือ “ความปกติที่เคยไม่ปกติ”

ในภาวะเศรษฐกิจและการเมืองของไทยก็เริ่มจะมีการใช้คำนี้บ่อยขึ้น เพราะอะไร ๆ ดูจะเสื่อมทรามลง และโอกาสที่จะฟื้นคืนกลับไปเหมือนเดิมก็ดูเหมือนจะยากเย็นยิ่งขึ้น

ที่เราเคยสามารถจะแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมได้ด้วยการนั่งลงพูดจากัน เปิดอกแลกเปลี่ยนความเห็นกันเพื่อผลประโยชน์ของชาติร่วมกัน วันนี้ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดราวาศอก จะต้องเอาชนะคะคานกัน เป็นเกมที่ต้องมีคนชนะกับคนแพ้เท่านั้น ไม่อาจจะมี win-win ให้ได้ “ชนะทั้งสองฝ่าย”

มาวันนี้อะไรที่เคยเห็นและเป็นไปก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เรียกว่าเป็น New Normal

หรือตัวเลขเติบโตทางเศรษฐกิจของเราที่เคยสูงถึง 5-7% เป็นเรื่องปกติจากนี้ไปก็คงจะหวังยากแล้ว อย่างเก่งก็โตได้ 3-4% เพราะปัจจัยอะไรต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว การจะกลับไปเหมือนเดิมก็เป็นไปไม่ได้

นี่ก็เป็น New Normal อีกกรณีหนึ่ง

การส่งออกที่เราเคยเฟื่องฟู เติบโตปีละ 20% ถือเป็นเรื่องปกติ วันนี้ 7 เดือนติดต่อกัน รายได้ส่งออกหดตัวติดลบด้วยซ้ำไป เพราะประเทศผู้ซื้อสินค้าจากเราปรับเปลี่ยนในหลาย ๆ ด้าน จะไม่ซื้อเหมือนที่เคยซื้ออีกแล้ว ดังนั้น จึงต้องมาตั้งเป้ากันใหม่ ว่าการส่งออกของเราจะโตได้อย่างมากที่สุดเท่าไหร่ ซึ่งก็คงจะเป็นเลขตัวเดียวมากกว่าที่จะเป็นเลขสองหน่วยอย่างในอดีต

นี่ก็ New Normal เช่นกัน

ไม่ต้องพูดถึงการเมืองที่เรื่องที่เคย ไม่ปกติมาหลายสิบปีกลับมากลายเป็นเรื่อง ปกติแบบใหม่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัฐธรรมนูญ  เลือกตั้งหรือ ประชานิยมกับ ประชาธิปไตยก็ตาม!