กิจวัตรยามเช้าของผู้บริหารชั้นนำ

กิจวัตรยามเช้าของผู้บริหารชั้นนำ

อยากรู้่หรือไม่ว่า กิจวัตรประจำวันของผู้บริหารชั้นนำเขาทำอะไรกันบ้าง

นักวิจัยสมัยนี้เขาซ่อกแซ่กกันน่าดูไม่แพ้ปาปารัสซี่และนักข่าวหัวเห็ดทั้งหลายที่สะพายกล้องและเครื่องมือสื่อสารทั้งหลายคอยสอดส่องว่าบรรดาคนดังเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร เขากิน เขาอยู่ เขามีวิธีทำงานและใช้ชีวิตส่วนตัวกันอย่างไร สมัยก่อนนั้นนักวิชาการและนักวิจัยในสายงานเศรษฐกิจและการบริหารจัดการมักสนใจวิเคราะห์ศึกษาเรื่องกลยุทธ์การบริหาร สไตล์การเป็นผู้นำของผู้นำองค์กรที่ประสบความสำเร็จเพื่อมาสรุปเป็นแนวทางบทเรียนให้นักบริหารคนอื่นๆได้นำแนวคิดนั้นไปปรับใช้ในองค์กรของตน โดยมากก็จะเป็นเรื่องของกลยุทธ์ กระบวนการ และแบบจำลอง (Model) ทางการบริหารเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ในปัจจุบันนี้นักวิจัยเริ่มสวมวิญญาณนักข่าวมากขึ้น พวกเขาเริ่มให้ความสนใจกับรายละเอียดต่างๆและเรื่องส่วนตัวของผู้นำ เช่น ผู้นำแต่ละคนมีบุคลิกภาพ (Personality) แบบไหน และบุคลิกภาพแต่ละแบบมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารทีมงานอย่างไร นอกจากนั้นนักวิจัยยังให้ความสนใจอีกด้วยว่าผู้นำที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเป็นที่ยอมรับของสังคมโลกใช้เวลาแต่ละวันทำอะไรบ้าง ทุกคนในโลกมีเวลาเท่าเทียมกันในแต่ละวัน นั่นก็คือ 24 ชั่วโมง แต่มันน่าพิศวงตรงที่คนบางคนสามารถสร้างผลผลิตนวัตกรรมได้มากมาย ในขณะที่คนบางคนไม่สามารถสร้างผลิตภาพได้มากนักทั้งๆที่พวกเขาหลายคนก็ทำงานหนัก ดังนั้นการที่เข้าไปศึกษาสอดส่องดูว่าผู้นำที่ประสบความสำเร็จเขามีกิจวัตรประจำอะไรบ้างอย่างไรอาจเป็นคำตอบให้ผู้บริหารคนอื่นๆที่อยากประสบความสำเร็จได้เรียนรู้ว่าพวกเขาสามารถพัฒนากิจวัตรประจำวันของเขาเพื่อสร้างผลิตภาพให้เพิ่มขึ้นอย่างไรก็ได้

ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้นักเขียนและนักวิจัยอย่างลอร่า แวนเดอแคม (Laura Vandekam) สถาบันพัฒนาการบริหารจัดการของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ตลอดจนกองบรรณาธิการของนิตยสารธุรกิจชั้นนำ เช่น ฟอร์บส์ (Forbes) ต่างให้ความสนใจกับการสัมภาษณ์เก็บข้อมูลจากผู้บริหารชั้นนำทั้งหลายว่าพวกเขามีกิจวัตรอะไรบ้างโดยเฉพาะในช่วงเวลาเช้าของวัน ทั้งนี้ดิฉันได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบบทวิเคราะห์ของบุคคลและสถาบันต่างๆเหล่านี้แล้วสรุปมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจได้ดังนี้

ต้องตื่นเช้า งานนี้ใครที่ใช้ชีวิตเหมือนนกฮูก หรือเป็นมนุษย์ค้างคาวท่องเที่ยวในยามราตรีคงนึกท้อถอย จากการสัมภาษณ์ CEO ระดับท้อป 20 ท่านในสหรัฐอเมริกา แวนเดอแคมรายงานว่า ประมาณ 90% ของผู้บริหารทั้งหมด (ประมาณ 18 ท่าน) กล่าวว่าในวันทำงานพวกเขาตื่นนอนแต่เช้าตรู่ โดยมากตื่นก่อน 6 โมงเช้า ตัวอย่างของผู้บริหารที่ตื่นแต่ฟ้ายังไม่สางคือ อินทรา นูยี (Indra Nooyi) CEO ของเป๊ปซี่โค ซึ่งตื่นตั้งแต่ตีสี่ และเข้าที่ทำงานไม่เคยเกิน 7 โมงเช้า บ๊อบ ไอเกอร์ (Bob Iger) CEO ของ ดิสนีย์ ตื่นตีสี่ครึ่งเพื่อมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านเมล์ และทวี้ตเตอร์ เหตุผลหลักที่ผู้นำเหล่านั้นตื่นนอนแต่เช้ามืดก็เพราะพวกเขาตระหนักว่า “เวลา” เป็นสิ่งที่มีค่า เป็นทรัพยากรที่สำคัญ ถ้าตื่นสาย เวลาในแต่ละวันก็จะหมดไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้นพวกเขาจึงมีแรงใจที่จะลุกขึ้นมาประกอบกิจกรรมต่างๆตั้งแต่เช้า อีกทั้งชาวบ้านธรรมดาและองค์กรทั้งหลายๆที่เราต้องติดต่องานด้วยก็มักเปิดทำการกันเวลาเช้าถึงเย็น ไม่ค่อยมีใครทำงานบ่ายถึงดึก จึงป็นเหตุผลสมควรที่คนเราควรจะตื่นแต่เช้ามาทำงาน เพราะจะมีเวลาสร้างผลิตภาพได้มากกว่า ผู้นำไทยอย่างคุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา คุณธนินทร์ เจียรวนนท์ คุณกานต์ ตระกูลฮุน ล้วนเป็นผู้นำตื่นเช้ากันทั้งนั้นค่ะ

ออกกำลังกาย ผู้นำขั้นเทพล้วนตระหนักดีอีกเช่นกันว่า การที่จะสามารถทำงานได้อย่างแข็งขัน พลังไม่ตก ทำงานได้นานๆจนแก่จนเฒ่าย่อมต้องมีร่างกายที่แข็งแรง เราจึงได้เห็นบารัค โอบามา ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เห็นปูติน ผู้นำของรัสเซียเข้ายิมออกกำลังเป็นประจำ ผลก็คือ ทั้งโอบามาและปูตินมีรูปร่างดี และมีสุขภาพแข็งแรงไม่ป่วยไข้ง่ายๆ CEO หญิงแกร่งแห่งซีร็อกซ์อย่าง เออร์ซูล่า เบิร์นส์ ก็ตื่นเช้ามาเข้ายิมเวลา 6 โมงกับครูฝึกส่วนตัวเป็นเวลา 1 ชั่วโมงสัปดาห์ละ 2 วัน งานนี้ได้ 2 เด้งคือร่างกายแข็งแรงและมีรูปร่างดี แก่ช้า ผู้นำเหล่านี้ล้วนมีภาระงานท่วมตัว ถ้าพวกเขาจัดเวลามาออกกำลังกายได้ แสดงว่าการออกกำลังย่อมต้องเป็นกิจกรรมที่มีคุณค่ามากในสายตาของพวกเขา

ดื่มน้ำบริสุทธิ์ ใครที่เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยกาแฟร้อนหอมกรุ่นอาจสำลักกาแฟได้ ผู้นำที่ประสบความสำเร็จเริ่มต้นวันใหม่ด้วยน้ำสะอาดค่ะ พวกเขาดื่มน้ำมาก แคท โคล CEO ของบริษ้ทโฟกัส แบรนด์ ซี่งเป็นบริษัทแม่ของเบเกอรี่แบรนด์ดังระดับโลก อานตี้ แอนส์ (Auntie Anne’s) คาร์เวล (Carvel) และ ซินนาบอน (Cinnabon) ตื่นตีห้า และดื่มน้ำปริมาณ 24 ออนซ์ทุกเช้า สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาทางสุขภาพที่ต้องจำกัดน้ำ การดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละอย่างน้อย 8 แก้วถือเป็นสุขนิสัยที่ดี การดื่มน้ำตอนเช้า โดยเฉพาะน้ำอุ่นจะช่วยทำให้รู้สึกตื่นตัวสดชื่น สร้างความชุ่มชื่นและชุ่มชื้นแก่หน้าตาผิวพรรณ ทำให้ระบบหมุนเวียนของโลหิตและของเหลวต่างๆในร่างกายเป็นไปด้วยดี

ทานอาหารเช้าที่มีคุณค่า ประเภทที่ลุกจากที่นอนได้ก็วิ่งผ่านน้ำ แต่งตัว และกระโดดขึ้นรถไปทำงาน แล้วดื่มกาแฟหรือชาถ้วยเดียว ไม่ทานอาหารเช้า นั่นเป็นสิ่งที่ผู้นำที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงและยั่งยืนไม่นิยมทำ ทางการแพทย์ก็มีผลการศึกษายืนยันมานมนานแล้วว่าอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด คืออาหารเช้าที่หลายๆคนละเว้นนี่เอง ตลอดเวลาทั้งคืนที่ร่างกายพักผ่อนหลังอาหารเย็นจนถึงเช้าวันใหม่ มันเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 6-8 ชั่วโมงนะคะ กว่าจะได้เวลาอาหารเที่ยงก็เป็นเวลาร่วม 12 ชั่วโมง ระหว่างนั้นในท้องว่างเปล่าไม่มีอาหาร แล้วร่างกายมันจะดึงเอาพลังงานจากไหนมาเลี้ยงสมองและกล้ามเนื้อให้ทำงานล่ะคะ มันก็ต้องดึงจากส่วนสำรองในร่างกายนั่นแหละ ทำอย่างนี้นานๆปีร่างกายก็ย่อมอ่อนล้าลงเรื่อยๆ ส่วนที่จะไประดมทานตอนกลางวันและตอนเย็น มันไม่สามารถทดแทนกับพลังของที่ร่างกายสูญเสียไปในช่วงเช้าหรอกค่ะ แถมทานมื้อเย็นหนักแล้วพุ่งเข้าเตียงนอน มันก็จะไปพอกพูนที่พุง ไม่ใช่ที่สมองและกล้ามเนื้อ ผิดหลักสุขอนามัย และผิดหลักกิจวัตรประจำวันของผู้นำที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

ใช้เวลากับครอบครัว น่าแปลกใจเหมือนกันนะคะที่ผู้นำที่มีงานรัดตัวเลือกใช้เวลาช่วงเช้ากับครอบครัวแทนที่จะเป็นเวลาเย็น ผู้บริหารหญิงหลายคนอุทิศเวลาตอนเช้าลุกมาเตรียมอาหารเช้าให้ลูก หรือช่วยลูกเล็กแต่งตัว พ่อแม่ลูกนั่งทานข้าวเช้าด้วยกัน บางคนที่ยังไม่มีลูกหรือลูกโตแล้ว ก็ใช้เวลานั้นเตรียมอาหารเช้าให้สามีหรือภรรยา ผู้นำเหล่านี้บอกว่าเขาเลือกเวลาเช้ามากกว่าเวลาเย็นที่จะให้เวลากับครอบครัว เพราะตอนเย็นทุกคนมักหมดแรง และเป็นช่วงเวลาที่สมาชิกในครอบครัวจะมานั่งดูโทรทัศน์ติดตามข่าวกันมากกว่านั่งคุยกัน งานนี้ดิฉันมีความเห็นว่าจะเลือกเวลาเช้าหรือเย็นก็พิจารณาให้เหมาะกับเงื่อนไขเวลาของแต่ละคนละกัน ประเด็นสำคัญคือ ต้องให้เวลากับครอบครัวเป็นประจำทุกวัน บ้านเรามันไม่เหมือนทางเมืองอเมริกาที่รถไม่ค่อยติดเหมือนเรา เขาจึงมีเวลามาทำอาหารเช้าให้ลูกได้ ถ้าจะมาปรับใช้กับผู้บริหารบ้านเรา ดิฉันว่าเช้าขึ้นมาเราก็คงคว้าแซนวิช หรือซาลาเปา นมกล่อง และกระโดดขึ้นรถ ระหว่างที่นั่งรถก็คงใช้เวลาช่วงนั้นพูดคุยกับลูก แทนที่จะต่างคนต่างนั่งจิ้มมือถือระหว่างรถติด เพื่อนของดิฉันมีกฏของครอบครัวว่าระหว่างที่ครอบครัวนั่งอยู่ด้วยกัน และทานอาหารด้วยกัน ห้ามใช้มือถือค่ะ ทั้งนี้เพื่อสร้างค่านิยมของครอบครัวที่ต้องใส่ใจพูดคุยและรับฟังกัน

วางแผนการทำงานแต่ละวัน แทนที่จะทำงานอย่างไม่มีระบบ ทำไปเรื่อยๆ หรือมีงานอะไรเข้ามาก็ทำ แบบนี้ไม่ใช่วิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผล ผู้นำอย่างเจฟฟ์ อิมเมลต์แห่งจีอี และผู้นำอีกหลายๆคนใช้เวลาช่วงเช้าวางแผนในศีรษะหรือเขียนลงไอแพดไว้คร่าวๆว่าแต่ละวันมีเรื่องสำคัญอะไรบ้างที่ต้องทำให้สำเร็จในวันนั้น ต้องเรียงลำดับความสำคัญของงานให้เป็น

สร้างเครือข่าย ผู้นำที่ประสบความสำเร็จใช้เวลาช่วงเช้าในที่ทำงานดื่มกาแฟในห้องกาแฟหรือนั่งเล่นร่วมกับพนักงาน แทนที่จะดื่มกาแฟอยู่ในห้องทำงาน ง่วนกับงานของตนเองคนเดียวในห้อง พวกเขาใช้เวลาประมาณ 10 – 15 นาทีดื่มกาแฟและสนทนาแบบเป็นกันเองกับผู้บริหารและพนักงาน เป็นโอกาสดีที่จะได้สื่อสารข้อมูลที่อยากให้พนักงานรับทราบ ได้รับฟังความเห็นของพนักงาน ได้มองเห็นความเคลื่อนไหวของพนักงาน เป็นเวลา 10 -15 นาทีที่มีคุณค่ายิ่ง

ภายในเช้าของวันหนึ่งๆ ผู้นำขั้นเทพเขามีกิจวัตรประมาณนี้ค่ะ เท่าที่ดิฉันสังเกตดู ผู้นำของไทยเราที่ประสบความสำเร็จก็มีกิจวัตรในทำนองนี้เช่นกัน เชื่อว่าเป็นคุณสมบัติร่วมของผู้นำที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นฐานของการมีสุขภาพแข็งแรง มีการวางแผนเวลาที่ดี มีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและเพื่อนร่วมงานในองค์กร ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการมีวินัยในตนเองและความเสมอต้นเสมอปลายในการปฏิบัติกิจกรรมเหล่านี้จนเป็นกิจวัตร เป็นเรื่องง่ายๆธรรมดาๆที่หลายคนละเลยมองข้าม เข้าทำนองความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด ตายน้ำตื้นเพราะนอนดึก ตื่นสาย ไม่ทานอาหารเช้า ไม่ออกกำลัง...น่าเสียดายนะคะ