ปฏิรูปการศึกษาไทยในความฝัน ให้ใกล้ความจริงด้วย “Sandbox”
ภาพการศึกษาไทยในฝันที่ผู้อ่านอยากเห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้อยู่ห่างไกลกันมากขนาดไหน?
หลายคนอาจอยากเห็นนักเรียนไทยมีทักษะชีวิต คิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ได้ดี นักเรียนและครูสนุกสนานกับการเรียน เพราะได้อยู่ในห้องเรียนที่มีบรรยากาศเอื้อต่อการเรียนรู้ รวมไปถึงการมีโรงเรียนดีๆ ใกล้บ้าน โดยคุณภาพการศึกษาของทุกโรงเรียนเท่าเทียมกัน แต่เมื่อกลับมาดูความเป็นจริงเทียบกับสิ่งที่กล่าวมายังห่างไกลอยู่มาก ผู้เขียนจึงอยากชวนมาทบทวนความจริงของการศึกษาไทย เพื่อหาทางออกใหม่ เพิ่มโอกาสและความหวังในการดึงความฝันพัฒนาการศึกษาให้เข้าใกล้ความจริงยิ่งกว่าเดิม
ความเป็นจริงการศึกษาไทย: ประเทศไทยมีโรงเรียนคุณภาพอยู่บ้าง.. แต่ยากจะขยายผลไปทั่วประเทศ
ปัจจุบัน มีโรงเรียนจำนวนหนึ่งที่ทำได้ดังภาพฝัน คือมีการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนที่เปลี่ยนแปลงการเรียนรู้ในห้องเรียนโดยตรง เช่น โรงเรียนทอสี และโรงเรียนรุ่งอรุณ ในกทม. ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-based Learning) โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ในจ.บุรีรัมย์ ที่จัดการศึกษาพัฒนาผู้เรียนทั้งภายในและภายนอก และให้ความสำคัญกับพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครู (Professional Learning Community - PLC) รวมทั้งโรงเรียนสาธิตต่างๆ และโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ซึ่งลักษณะพิเศษของโรงเรียนเหล่านี้ คือ มีอิสระในการบริหารจัดการสูง จึงมีโอกาสคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณภาพสูงตามต้องการ และมีนโยบายเพื่อการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถผลิตและใช้นวัตกรรมการสอนได้อย่างยั่งยืน
หลายองค์กร พยายามนำนวัตกรรมเหล่านี้ขยายผลสู่โรงเรียนอื่นๆ แต่ต้องพบกับอุปสรรคหลายประการ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ได้ผลจะต้องเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับ ‘ความเชื่อ’ ของบุคลากรในโรงเรียน ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลง “ระบบบริหารจัดการ” ในโรงเรียน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรที่หยั่งรากลึก
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเรียกร้องให้ครูและผู้อำนวยการต้องพัฒนาทักษะที่ต่างจากเดิม โรงเรียนต้องการพี่เลี้ยงที่มีประสบการณ์ในการใช้งานนวัตกรรมการเรียนรู้มาสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน แต่การมีพี่เลี้ยงอย่างเดียวไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้ หากโรงเรียนยังอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของนโยบายและกฎระเบียบของโรงเรียนรัฐที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การพัฒนาและการบริหารบุคลากรในภาคการศึกษาที่ตอบสนองกับนโยบายส่วนกลางเท่านั้น รวมถึงการขาดการสนับสนุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของครูและผู้บริหารที่จะนำนวัตกรรมไปปรับใช้
หรือการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องมีกฎระเบียบและวัฒนธรรมการทำงานใหม่ที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
ความเป็นจริงการศึกษาไทย: การปฏิรูประดับประเทศเกิดขึ้นบ่อย.. แต่ยากจะคาดคะเนผล
การปฏิรูประดับประเทศที่ผ่านมา ทั้งการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร กฎระเบียบ รวมถึงนโยบายใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับรัฐมนตรีแต่ละคน มักมุ่งเป้าหมายให้ครูและโรงเรียนจำนวนมาก หรือในวงกว้างต้องปรับตัวจากเดิมมาก แม้การเปลี่ยนแปลงนโยบายจะมีเจตนาที่ดี แต่เมื่อไม่ได้มีการเตรียมการเปลี่ยนผ่านรับความเปลี่ยนแปลงให้รอบคอบ นอกจากจะไม่ทำให้เกิดการพัฒนาการเรียนการสอนแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบเชิงลบที่ไม่ได้ตั้งใจต่อนักเรียนและครูทั่วประเทศ
เช่น นโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” เมื่อปี 2560 ที่มุ่งหมายลดจำนวนชั่วโมงเรียนวิชาการเพื่อพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ที่นักเรียนมีส่วนร่วม แต่เนื่องจากครูส่วนใหญ่มีภาระงานมากอยู่แล้ว ประกอบกับไม่สามารถออกแบบกิจกรรมที่ทั้งสนุกและทั้งทำให้เด็กได้เรียนรู้ได้ หลายโรงเรียนจึงจัดกิจกรรมจิปาถะเพื่อฆ่าเวลา ในขณะที่มีโรงเรียนไม่น้อยมีความกดดันเรื่องคะแนน O-NET และครูกังวลเรื่องการสอนเนื้อหาให้ครบตามหลักสูตรแกนกลาง จึงใช้เวลาส่วนนี้เพื่อติวข้อสอบ ซึ่งตรงกันข้ามกับเจตนาของนโยบายอย่างสิ้นเชิง
แม้หลายนโยบายจะมีการนำร่องทดลองในบางโรงเรียนก่อนจะขยายผลทั้งประเทศ แต่ยังขาดกระบวนการวิจัยและวิเคราะห์ผลการดำเนินงานอย่างเที่ยงตรง ประกอบกับครูและผู้บริหารต่างมีความกังวลว่าต้องปฏิบัติตามนโยบายให้ได้ผล ผลการประเมินต่างๆ ในเอกสารจึงอาจไม่จำเป็นต้องสอดคล้องความเป็นจริงแต่อย่างใด
ดึงความฝัน เข้าใกล้ความจริง: สร้างบรรยากาศใหม่ในการปฏิรูปด้วย “Sandbox”
ปัญหาวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เอื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ภาคการศึกษากำลังเผชิญ แทบไม่ต่างจากหลายองค์กรหรือในหลายภาคส่วนเช่นเดียวกัน แต่หนึ่งในวิธีที่องค์กรขนาดใหญ่ใช้เมื่อต้องการสร้างนวัตกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง คือการสร้างพื้นที่ทดลองสำหรับคิดค้น วิจัย พัฒนา และนำนวัตกรรมที่ได้ผลป้อนเข้าสู่องค์กรหลัก แม้กระทั่งภาครัฐก็เริ่มนำแนวทางนี้มาใช้ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศสร้าง Regulatory Sandbox เพื่อเอื้อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีการให้บริการทางการเงิน ภายใต้กฎระเบียบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
ดังนั้นจะดีหรือไม่ หากการศึกษาไทยก็มี Sandbox สำหรับการปฏิรูป หรือ พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพื่อทดลองวิธีการขยายผลนวัตกรรม เปลี่ยนผ่านโรงเรียนให้สามารถสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ และปรับเปลี่ยนกฏระเบียบที่ไม่เอื้อให้เกิดการพัฒนา
โดย Sandbox มีกรอบแนวคิดหลัก คือ (1) มีสภาพการทำงานที่ยืดหยุ่น เพื่อเอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมและแก้ไขระบบ (2) เชื่อมต่อกับระบบการศึกษาปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางลบต่อครูและนักเรียน และสามารถส่งต่อข้อเสนอแนะทางนโยบายสู่ทั่วประเทศ (3) เปิดให้ทุกภาคส่วนในท้องถิ่นเข้าร่วม เช่น ภาครัฐ ส่วนท้องถิ่น จังหวัด ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ และ (4) รับรองด้วยกฎหมายเพื่อสร้างเสถียรภาพจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการวิจัยและพัฒนาในพื้นที่นวัตกรรมฯ สามารถลดผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจต่อวงกว้าง ในขณะเดียวกันก็สามารถปรับเปลี่ยนวิธีปฏิบัติเพื่อรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ บทเรียนที่ได้จาก Sandbox จะเป็นแนวทางที่ใช้การได้เพื่อการปฏิรูปในระดับประเทศต่อไป
ที่ผ่านมา ทีดีอาร์ไอร่วมกับเครือข่าย ได้นำข้อเสนอพื้นที่นวัตกรรมการศึกษารับฟังความคิดเห็นจากหลายภาคส่วน ทั้งในภาคนโยบาย ภาคประชาสังคม และจากบุคลากรในพื้นที่นำร่อง จนเกิดการพัฒนามาเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม แนวคิดเชิงนโยบายนี้ ยังต้องการความคิดเห็นและแรงผลักดันจากสังคมวงกว้าง เพื่อให้ภาพการศึกษาที่ฝันไว้เกิดขึ้นจริงได้ในเร็ววัน
หากผู้อ่านยังมีความหวังต่อปฏิรูปการศึกษาไปด้วยกันในแนวทางนี้ หรือมีข้อเสนอดึงความฝันใกล้ความจริงยิ่งกว่านี้ สามารถเข้าร่วมให้ข้อมูล ความคิดเห็นต่อข้อเสนอ “พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา” ในงาน TEP Forum 2018 ในวันที่ 5-6 พฤษภาคม 2561 ที่สถานีโทรทัศน์ ThaiPBS ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.facebook.com/TEPThaiEDU/
หมายเหตุ ในบทความวาระทีดีอาร์ไอ: หาบเร่แผงลอย: วิถีชีวิตที่รัฐมองข้าม เมื่อวันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561 มีการอ้างอิงงานวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งที่ถูกต้องคือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงขออภัยมา ณ ที่นี้
โดย... กชกร ความเจริญ