ทำไมแท็กซี่ถึงปฏิเสธผู้โดยสาร

ทำไมแท็กซี่ถึงปฏิเสธผู้โดยสาร

“ปฎิเสธผู้โดยสาร” เป็นปัญหาหลักของการให้บริการรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 40% ของสถิติการร้องเรียนรถแท็กซี่

ผ่านกรมการขนส่งทางบก

โดยคนขับแท็กซี่มักจะให้เหตุผลในการไม่รับผู้โดยสาร ว่าต้องเติมเชื้อเพลิง (ก๊าซ) ส่งกะเช่ารถ การจราจรติดขัด ไปจนถึงไม่รู้เส้นทาง หรือบางรายมีความต้องการรับนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติในราคาเหมาจ่าย แต่หากพิจารณาถึงโครงสร้างต้นทุนของการประกอบการรถแท็กซี่ จะพบว่า “แท็กซี่เป็นธุรกิจที่ขาดทุน

สภาวะการขาดทุนของคนขับแท็กซี่ นอกจากจะเกิดจากการแข่งขันกับแท็กซี่ในระบบจำนวนมากกว่า 80,000 คันแล้ว ยังรวมถึงบริการของบริษัทโครงข่ายการขนส่ง (TNC) เช่น แกร็บ ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในกรุงเทพฯ โดยคนขับแท็กซี่ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงมากในแต่ละวัน ทั้งค่าเช่ารถหรือค่าผ่อนรถ ค่าเชื้อเพลิง ค่าซ่อมบำรุงและค่าใช้จ่ายอื่นๆ โดยเฉลี่ยประมาณ 1,000 – 1,500 บาทต่อวัน

แต่เมื่อพิจารณารายได้จากค่าโดยสารของคนขับแท็กซี่ พบว่า คนขับมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 1,300-1,500 บาทต่อวัน ซึ่งจะถูกหักด้วยค่าใช้จ่ายอื่นๆ เหลือรายได้เฉลี่ย 300-400 บาทต่อวัน ไม่แตกต่างจากค่าแรงขั้นต่ำที่รัฐบาลกำหนด จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนขับแท็กซี่ต้องหาช่องทางการทำรายได้เพิ่ม ทั้งการเพิ่มชั่วโมงการทำงานที่สูงขึ้น การรับผู้โดยสารในราคาเหมาจ่าย รวมถึงการปฎิเสธผู้โดยสาร เป็นต้น

ในขณะที่อัตราค่าโดยสารแท็กซี่ถูกตรึงไว้ด้วยกฎหมายและไม่สะท้อนต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ประเทศไทยคิดอัตราค่าโดยสารแท็กซี่แรกเริ่มที่ 35 บาท สำหรับ 2 กิโลเมตรแรก ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 โดยได้มีการเปลี่ยนแปลงมา 3 ครั้ง และครั้งล่าสุด คือ พ.ศ. 2557 ที่ปรับเป็น 35 บาทสำหรับกิโลเมตรแรก อีกทั้งมีการปรับราคาตามกิโลเมตรขึ้นบ้าง เพื่อให้การให้บริการระยะทางไกลได้ค่าโดยสารมากขึ้น แต่หากเปรียบเทียบอัตราค่าโดยสารกับประเทศใกล้เคียง เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ค่าโดยสารรถแท็กซี่ของไทยยังถือว่าถูกกว่ามาก

ตลาดของบริการรถแท็กซี่มีลักษณะแตกต่างจากสภาพตลาดของสินค้าและบริการโดยทั่วไป กล่าวคือ ในการให้บริการรถแท็กซี่ จำเป็นต้องมีรถแท็กซี่พร้อมให้บริการในพื้นที่และเวลาเดียวกันกับผู้โดยสารที่มีความต้องการใช้ จึงจะเกิดบริการดังกล่าวขึ้นได้

หากมีจำนวนรถแท็กซี่ในตลาดมาก แต่รถแท็กซี่ดังกล่าวที่พร้อมให้บริการไม่ได้อยู่ในพื้นที่และเวลาเดียวกับที่มีความต้องการใช้ จะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการให้บริการที่ผู้โดยสารได้รับ ทั้งเรื่องระยะเวลาในการรอรถที่นานขึ้น และค่าโดยสารที่ถูกเรียกเก็บอาจถีบตัวสูงขึ้นหากไม่มีกลไกการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ

ในอีกมุมหนึ่ง ส่วนใหญ่หลังจากมีการส่งผู้โดยสารที่จุดหมายปลายทางแล้ว คนขับรถแท็กซี่มักมีโอกาสน้อยที่จะพบผู้โดยสารที่มีความต้องการใช้บริการอยู่ในพื้นที่และเวลาเดียวกันกับที่คนขับรถแท็กซี่ดังกล่าวกลับมาพร้อมให้บริการอีกครั้งหนึ่ง คนขับรถแท็กซี่จึงต้องวิ่ง รถเปล่า ไปจนกว่าอุปทานของบริการรถแท็กซี่และอุปสงค์ของผู้ต้องการใช้บริการจะพบกันในพื้นที่ที่ใช่และในช่วงเวลาที่เหมาะสม

ลักษณะธรรมชาติดังกล่าวของบริการรถแท็กซี่ ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของการใช้รถแท็กซี่ (Vehicle Utilization) และอัตราการบรรทุกผู้โดยสารเฉลี่ย (Load Factor) ที่ค่อนข้างต่ำในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากการมุ่งแก้ปัญหาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจับคู่ (Matching) ระหว่างคนขับรถแท็กซี่และผู้โดยสารแล้ว (เช่น จุดจอด หรือการใช้แอพพลิเคชั่น เป็นต้น) จำเป็นต้องมีการคำนึงถึงประเด็นดังกล่าวในการกำหนดอัตราค่าโดยสารด้วย โดยอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บจากผู้โดยสารสำหรับการใช้บริการแต่ละครั้ง ควรต้องสูงกว่าต้นทุนในการให้บริการเที่ยววิ่งแต่ละเที่ยว เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนทั้งหมดที่คนขับรถต้องแบกรับ รวมทั้งลดชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานของคนขับรถแท็กซี่ส่วนใหญ่ลง ให้รายได้ที่ได้รับต่อชั่วโมงอยู่ในระดับที่เหมาะสมใกล้เคียงกับภาคบริการอื่นๆ

ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสาเหตุหนึ่งของชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน เกิดจากสภาพการจราจรที่ติดขัด ทำให้คนขับรถแท็กซี่ต้องเพิ่มเวลาในการทำงาน เพื่อให้รายได้ที่ได้รับเพียงพอต่อต้นทุนและค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน ในขณะที่การคิดค่าโดยสารตามระยะเวลาที่ใช้อยู่ยังไม่สอดคล้องกับสภาพการจราจรและต้นทุนเวลาดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น โดยคนขับรถแท็กซี่จะได้รับค่าโดยสารในส่วนนี้คิดเป็นนาทีละ 2 บาท ก็ต่อเมื่อรถแท็กซี่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่เกิน 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งการจราจรจริงมักไม่ได้มีการหยุดนิ่งเป็นเวลานาน และมักเป็นการเคลื่อนที่สลับหยุดนิ่งซึ่งใช้ความเร็วในการเคลื่อนที่เกินกว่า 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ค่าโดยสารกรณีรถติดไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งในการเลือกที่จะปฏิเสธไปในเส้นทางที่มีการจราจรติดขัด

ปัญหาของอัตราค่าโดยสารที่ไม่สอดคล้องต้นทุน ส่งผลให้ไม่เกิดการพัฒนาและรักษามาตรฐานบริการรถแท็กซี่ หนึ่งในทางออกคือการเปลี่ยนแปลงวิธีการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ตายตัวไปสู่อัตราที่ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับต้นทุนของผู้ประกอบการที่เปลี่ยนแปลงไปและสภาพการจราจรที่ติดขัด รวมถึงการกำหนดมาตรฐานการบริการ ติดตามและประเมินผลพฤติกรรมผู้ขับขี่ผ่านระบบการตัดแต้มคนขับ (Demerit Point System) เพื่อป้องกันการกระทำผิดและคัดกรองคนขับที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งภาครัฐจะต้องปรับตัวทั้งด้านระบบการทำงาน และด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวพันกับข้อมูลการประกอบการ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนามาตรฐาน และควรมีการสร้างระบบข้อมูล เพื่อรองรับการส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลด้านการประกอบการที่รัฐจะนำมาใช้ในการติดตาม ประเมินผล และวางแผนในอนาคตได้

โดย... 

ชลวิทย์ พันธ์ภักดีดิสกุล

พรพิมล ตินะน้อย