ยุคที่รุ่งเรือง(กว่าเดิม)ของ E-Commerce แดนมังกร
ประเทศจีนถือเป็นตลาด E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ประเทศจีนถือเป็นตลาดสำหรับผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย มีการคาดการณ์ว่าตลาดค้าปลีกแดนมังกรจะยังคงมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อไปนับตั้งแต่ปี 2017 ไปจนถึงปี 2021 นอกจากนี้ยังเป็นตลาด E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยมูลค่า 307,000 ล้านเหรียญในไตรมาสแรกของปี 2018 โดยเติบโตถึง 35.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (สำรวจโดย PWC)
สถิติยังบ่งบอกอีกว่าคนจีน 50% ซื้อของออนไลน์ทุกสัปดาห์ เทียบกับคนทั้งโลกที่มีอัตราการซื้อของออนไลน์เป็นประจำที่ 22% โดยสินค้าที่คนจีนสั่งซื้อออนไลน์มากที่สุด 59% คือของชำ ฐานลูกค้าสำคัญคือกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือMillennials ซึ่งมีจำนวนมากถึง 410 ล้านคนซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าประชากรในทวีปอเมริกาเหนือเสียอีก
แม้ตลาด E-Commerce แดนมังกร จะสยายปีกอย่างแข็งแกร่งมายาวนาน แต่พญามังกรตัวนี้ยังสามารถแผลงฤทธิ์ได้อีก จากการสำรวจโดย PWC ได้ให้นิยามอุตสาหกรรม E-Commerce ของจีนไว้ว่ากำลังจะหมดยุครุ่งเรือง Digital Era ไปสู่ยุคที่รุ่งเรืองกว่า โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนคือเทคโนโลยีทั้งสามประกอบด้วย
แพลตฟอร์มอัจฉริยะที่เข้ามาบริหารจัดการความต้องการของลูกค้า(Customer Centric)
การผนึกกำลังของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรม E-Commerce
การนำ Big Data มาใช้ประมวลผลการเปลี่ยนแปลงของตลาดเพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว
ผู้เล่นรายใหญ่ที่เป็นหัวขบวนในการผลักดันอุตสาหกรรม E-Commerce ในจีนคงหนีไม่พ้น Alibaba,Tencent และ JD.com กลยุทธ์ที่ยักษ์ใหญ่ทั้งสามนำมาใช้เหมือนกันก็คือสร้างแพลตฟอร์มที่อัจฉริยะ (Smart) และไร้รอยต่อ (Bordeless) โดยมีการสร้าง Ecosystem ที่ครบวงจร ตั้งแต่ระบบการชำระเงินโดยไม่ใช้เงินสดและอยู่บนระบบออนไลน์ (Mobile Payment) ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของทั้ง Alibab ที่มี Alipay และ Tencent ที่มี WePay นอกจากความสะดวกในการชำระเงินแล้ว ยังเป็นช่องทางการจัดเก็บข้อมูลลูกค้าที่ดีที่สุด เงินทุกหยวนที่เข้ามาในระบบ จะถูกบันทึกไว้ทั้งหมดว่านำไปใช้จ่ายอะไรเพื่อนำไปประเมินความต้องการของลูกค้าและตลาดรวมต่อไป
นอกจากนี้ทั้งสามรายยังได้สร้างธุรกิจอื่นๆเข้ามาเสริมอาณาจักรให้มีความเข้มแข็ง อย่างแพลตฟอร์ม Search Engine,Digital Advertising,Social Media Platform ,Online Media Platform รวมถึงสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศรวมถึงภายในภูมิภาค นอกจากนี้ยังดำเนินกลยุทธ์เดียวกับธุรกิจ E-Commerce ในสหรัฐอเมริกาด้วยการขยายออกไปยังร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมอีกด้วย
PWC ได้ประเมินว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้สามยักษ์ค้าปลีกของจีนจะสามารถสยายปีกทางธุรกิจไปได้ไกลกว่าแผ่นดินมังกรของตัวเอง (แม้ว่าภาคตะวันตกของจีนซึ่งเป็นเขตชนบทจะยังมีช่องทางขยายตลาดได้อีกมาก) เห็นได้ว่าทั้งสามรายต่างเปิดกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจในต่างแดนแทบทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างเช่น JD.com ที่ร่วมทุนกับกลุ่มเซ็นทรัลของไทย
เห็นการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งของ E-Commerce จีนแล้ว ยอมรับว่าเป็นห่วงผู้เล่นไทยจะมีที่ยืนอยู่ในสมรภูมิที่โหดร้ายนี้ได้เช่นไรจากอำนาจเงินหยวนที่มีมหาศาล หนีไม่พ้นการร่วมทุนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่เช่นนั้น E-Commerce สัญชาติไทยแท้อาจจะสูญพันธ์ไปเลยก็ได้