สถิติบอกว่า ... หลังทราบผลการเลือกตั้ง หุ้นมักจะร่วง?
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา ประเทศไทยเราผ่านการเลือกตั้งทั่วไปมาแล้วทั้งหมด 6 ครั้งด้วยกัน
และวันที่ 24 มี.ค. 2562 ที่จะถึงนี้ จะเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 7 ในรอบ 24 ปี หรือ เลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 8 ปีทีเดียว
การเลือกตั้งครั้งนี้ ในแง่ของทิศทางของประเทศไทย ก็น่าจะเป็นการตั้งเข็มทิศครั้งใหม่ของอนาคตของประเทศ ซึ่งในฐานะที่ผู้เขียนเป็นหนึ่งในประชาชนไทยก็ขอให้คนไทยศึกษานโยบายของพรรคต่างๆให้เข้าใจ และชวนกันออกไปใช้สิทธิใช้เสียงให้เยอะๆนะครับ
กลับมาที่ การเลือกตั้งกับการลงทุน แน่นอนว่า ถ้าการเลือกตั้งมันจะสำคัญต่อประเทศขนาดนั้น มันก็ย่อมมีผลต่อตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นเดียวกัน วันนี้ผมเลยขอลองเอาสถิติเก่าๆของตลาดหุ้นไทยในช่วงการเลือกตั้งมาเล่าสู่กันฟังบ้าง
ถ้าย้อนดู 6 เดือนก่อนการเลือกตั้ง จากทั้งหมด 6 ครั้งในอดีต จะพบว่า 5 ครั้ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยเฉลี่ยบวกได้ +14% ครั้งที่ผลตอบแทน 6 เดือนก่อนการเลือกตั้งติดลบ คือปี 2539 ที่ดัชนีปรับตัวลงมากถึง -29% ก่อนที่พล.อ.ชิวลิต ยงใจยุทธ จะคว้าชัยในการเลือกตั้งครั้งนั้น ซึ่งเป็นที่โชคร้าย อย่างที่เราทราบกันดีว่า ในปี 2539-2540 ประเทศไทยประสบกับวิกฤตต้มยำกุ้งซึ่งลุกลามจนกลายเป็นวิกฤตหนี้เอเชีย หรือ Asian Crisis ในเวลาต่อมา ทำให้ตลาดหุ้นไทย ปรับฐานรุนแรงจากจุดสูงสุด 1,789.16 จุด เมื่อม.ค. 2537 ร่วงลงมาต่ำกว่า 300 จุด ช่วงเดือนส.ค. 2540 เป็นการสิ้นสุดตลาดกระทิงที่เจ็บปวดที่สุดครั้งหนึ่งของนักลงทุนไทย
แล้วหลังการเลือกตั้งละ หุ้นไทยเป็นอย่างไร?
ถ้านับที่ Time Frame 6 เดือน ข้อมูลถือว่าน่าสนใจมากๆครับ เพราะหลังการเลือกตั้ง 6 ครั้งที่ผ่านมา มีถึง 5 ครั้ง ทีเดียวที่ตลาดหุ้นไทยร่วงต่ำกว่าเดิม มีเพียงแค่ครั้งเดียวคือ การเลือกตั้งเมื่อเดือนส.ค. 2538 ซึ่งได้พรรคชาติพัฒนาของคุณบรรหาร ศิลปอาชาขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยหลังจากนั้น 6 เดือน ตลาดหุ้นไทยถึงบวกได้ ก็ได้แค่เพียง +1% เท่านั้น
และหลังการเลือกตั้ง 5 ครั้งที่ตลาดหุ้นไทยติดลบ เป็นการติดลบเฉลี่ย -6.2% ทีเดียว ซึ่งถ้ามองจากสถิติย้อนหลังเช่นนี้ อาจทำให้เราตีความไปว่า เราควรขายหุ้นออกเมื่อวันเลือกตั้งใกล้จะเข้ามาถึง และไปหาจังหวะซื้อที่ระดับต่ำกว่าหลังจากนั้น
ที่ต้องอธิบายเพิ่มเติมก็คือ การจัดตั้งรัฐบาลในแต่ละชุด แท้จริงแล้วบริบทของเศรษฐกิจในแต่ละช่วงก็มีความแตกต่างกัน ดังนั้น ข้อมูลเพียงแค่สถิติเพียงเท่านี้ คงจะนำไปกำหนดเป็นกลยุทธ์ในการลงทุนเลย ก็คงจะเป็นไปไม่ได้
อย่างช่วงหลังการเลือกตั้งเดือนม.ค. 2551 ที่ได้คุณสมัคร สุนทรเวช ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกฯ ก็เป็นช่วงจุดเริ่มต้นที่ฝั่งสหรัฐฯ เกิดวิกฤตซับไพรม์ (Subprime Crisis) นำไปสู่การเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ซึ่งหากถามว่า เศรษฐกิจไทยกระทบอะไรกับปัญหาดังกล่าวหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า มีผลกระทบแค่บางส่วนซึ่งเล็กน้อยมาก แต่พอดูผลกระทบกับตลาดหุ้นไทย เราก็เห็นแล้วว่า ทำให้เกิดการปรับฐานรุนแรงตามมา
และอีกครั้งที่มีการเลือกตั้งเดือนก.ค. 2554 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ปัญหาหนี้ที่ฝั่งยุโรปลุกลาม (Euro Debt Crisis) และตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับฐานเพราะความกังกวลว่าสหภาพยุโรปอาจไม่ได้ข้อสรุปในการช่วยเหลือกลุ่มประเทศที่มีปัญหา โดยเฉพาะประเทศกรีซ
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่สำคัญในการวิเคราะห์การลงทุน จึงพอสรุปได้ว่า ไม่ใช่แค่ดูว่าก่อนหรือหลังเลือกตั้ง ตลาดหุ้นจะวิ่งทางในในอดีต แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาประเมิณสถานการณ์ ภาพรวมเศรษฐกิจในตอนนั้น วิเคราะห์ธุรกิจ เจาะงบการเงิน ดูในรายละเอียดของหุ้นที่เราสนใจอีกที เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนระยะยาว
อ้าว แล้วนักเก็งกำไรระยะสั้นละ?
งั้นขอให้ข้อมูลอีกตัวหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่มีกรอบการลงทุนสั้นหน่อยก็แล้วกันครับ สถิติบอกว่า เลือกตั้งทั่วไป 5 ครั้งที่ผ่านมาในอดีต หากนับแค่กรอบระยะเวลา 1 เดือนหลังจากวันเลือกตั้ง พบว่า ตลาดหุ้นไทย จะมีโอกาสที่เห็นดัชนีปิดสูงกว่า วันทำการสุดท้ายของการเลือกตั้งอย่างน้อย 1 วันแน่นอน ซึ่งแปลว่า หากซื้อก่อนเดินเข้าคูหาเลือกตั้ง ภายใน 1 เดือนไปหาวันขาย ก็ดูเหมือนจะมีโอกาสได้กำไร ส่วนจะมากจะน้อย คงต้องแล้วแต่ว่า เราไปถือหุ้นตัวไหน และไปพิสูจน์กันว่า สถิติในอดีตจะยังดำเนินต่อไป หรือจะทำลายทิ้งในการเลือกตั้งครั้งนี้ครับ