‘BLC’ ดัน ‘สมุนไพรนวัตกรรม’เสนอภาครัฐทำงานร่วม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

‘BLC’ ดัน ‘สมุนไพรนวัตกรรม’เสนอภาครัฐทำงานร่วม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

ภาพรวม“ธุรกิจกลุ่ม Healthcare”จะเป็นเรื่องธุรกิจสุขภาพและความงาม ทั้งในส่วนของสินค้าและบริการ ประเทศไทยมีจุดเด่นตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ

KEY

POINTS

  • ปัจจุบันปี 2568 BLC มีการเติบโตอยู่ที่ 11-12% เป็นการเติบโตลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง
  • การพัฒนาสมุนไพร ต้องมีมาตรฐาน มีความคุ้มค่าในเชิงอุตสาหกรรม ความเข้มแข็งด้านงานวิจัย มีการระดมทุน และมีตลาดอย่างชัดเจน ภาครัฐต้องสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
  • BLC นำจุดเด่นด้านการวิจัย พัฒนานวัตกรรมสมุนไพร ด้วยกระบวนการผลิตที่เทียบเท่ายาแผนปัจจุบัน ช่วยสร้างการเติบโตให้อุตสาหกรรมยาของไทย

ภาพรวม“ธุรกิจกลุ่ม Healthcare”จะเป็นเรื่องธุรกิจสุขภาพและความงาม ทั้งในส่วนของสินค้าและบริการ ซึ่งประเทศไทยมีจุดเด่นตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำของอุตสาหกรรมยา โรงพยาบาล/คลินิก คลินิกความงาม หรือธุรกิจร้านยา มีการพัฒนาผลิตสินค้าและบริการ อย่าง ยา ทั้งยาคน ยาสัตว์ และยาสมุนไพร รวมถึงส่วนที่ไม่ใช่ยา นั่นคือ เวชสำอาง และอาหารเสริม

“บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติคหรือ BLC” อีกหนึ่งผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบัน ประเภทยาสามัญ และยาสามัญใหม่ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผลิตภัณฑ์ยาสำหรับสัตว์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพครบวงจร ครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์อื่นๆ มาเป็นระยะเวลานานกว่า 3 ทศวรรษ ภายใต้การรวมตัวของเภสัชกร 3 ท่าน ได้แก่ “ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์, ภก.ศุภชัย สายบัว และภก.สมชัย พิสพหุธาร” ด้วยความมุ่นมั่งตั้งใจให้คนไทยเข้าถึงยาคุณภาพดี และสร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน

‘BLC’ ดัน ‘สมุนไพรนวัตกรรม’เสนอภาครัฐทำงานร่วม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

'อัยย์ไทย' SME สมุนไพรร่วมสมัย Soft Power ไทยศูนย์กลางสมุนไพรโลก

ตลาดสมุนไพรไทยผงาด พุ่ง 14%! รัฐอัดฉีดปั้นแสนล้านสู่ศูนย์กลางโลก

มูลค่าตลาดยาประมาณ 2.8 แสนล้านบาท

ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติคหรือ BLC ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ รวมถึง Soft Power อย่าง การนวดไทย สมุนไพรไทย ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสปา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาสินค้าและบริการด้านสุขภาพ เป็นที่ยอมรับมากขึ้น และภาครัฐในการผลักดันให้เวลเนสเติบโตมากขึ้น สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศได้ 

“BLC อยู่ในส่วนของต้นน้ำ ที่มีทั้งการผลิตยาและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยา ซึ่งเรามองตัวเองเป็นธุรกิจยา ที่ในประเทศไทยอาจจะมีผู้ประกอบการไม่มากทั้งที่ตลาดยาใหญ่มากซึ่งเฉพาะในโรงพยาบาลและร้านยา มีมูลค่าประมาณ 2.8 แสนล้านบาท แต่ไทยมี pain point สำคัญ คือ ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ยังต้องมีการนำวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ และขาดทุนในการพัฒนา ผลิตยา เพราะต้องยอมรับว่าการผลิตยา ต้องใช้ทุนจำนวนมาก ต้องมีเทคโนโลยีทันสมัย ต้องมีตลาด และที่สำคัญต้องมีมาตรฐานตั้งแต่กระบวนการผลิต ไปจนถึงตลาดในการขาย” 

BLC เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2566 โดย หุ้นของ BLC เข้าซื้อขายในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคและบริโภค หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์เพื่อมีการระดมทุนขยายกิจกรรม  ปัจจุบันมีโรงงาน มีศูนย์วิจัย และมีบริษัทลูกอีก  5 แห่ง 

‘BLC’ ดัน ‘สมุนไพรนวัตกรรม’เสนอภาครัฐทำงานร่วม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

“สมุนไพรนวัตกรรม”ความมั่นคงด้านสุขภาพ

“เป้าหมายของ BLC เราต้องการสร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพให้แก่คนในประเทศ พร้อมทั้งมีส่วนช่วยในการสนับสนุนเศรษฐกิจ ดังนั้น เราไม่หยุดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ และความก้าวหน้าด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยขณะนี้กำลังดำเนินก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่และมีแผนจะพัฒนาสินค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะสินค้าและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ซึ่งสมุนไพร ถือเป็นจุดเด่นของประเทศ ที่นอกจากจะสร้างงานให้เกษตรกรแล้ว ยังเป็นการผสมผสานภูมิปัญญาของไทย และเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศได้”  

ตั้งแต่  BLC เห็นเทรนด์สมุนไพร และเริ่มพัฒนาผลิตสินค้าให้มีมาตรฐานแข่งขันได้ในระดับสากล โดยเป็น “สมุนไพรนวัตกรรม” ซึ่งบริษัทได้มีการจัดตั้งศูนย์วิจัย ที่พัฒนาเทคนิคการสกัด การผลิต การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ โดยใช้สมุนไพรที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบย้อนกลับ และมีการสื่อสารให้เป็นที่ยอมรับทั้งในโรงพยาบาล คลินิก และร้านยามากขึ้น 

ภก.สุวิทย์ กล่าวต่อว่าต้องยอมรับว่าแพทย์แผนปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือจ่ายยาสมุนไพรให้แก่คนไข้เวลาเจ็บป่วยแล้วไปโรงพยาบาล ซึ่งต่อให้มีการจัดตั้งสมุนไพรแชมเปี้ยน แต่มีการสนับสนุนหรือส่งเสริมช่วงที่มีกระแส ทำให้การปลูกสมุนไพรไม่มีความต่อเนื่อง เกษตรกรจะนิยมพืชสมุนไพรชนิดใดชนิดหนึ่ง แห่กันไปปลูกแต่พอพ้นช่วงที่มีกระแสก็หยุดปลูก ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่สามารถหาพืชสมุนไพรที่ได้มาตรฐาน ทำให้โรงงานหรือผู้ประกอบการต้องเพิ่มต้นทุนในการหาสมุนไพรคุณภาพ

‘BLC’ ดัน ‘สมุนไพรนวัตกรรม’เสนอภาครัฐทำงานร่วม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อของผู้บริโภคน้อยลง

“BLC มีซัพพลายเออร์ มีแหล่งทุน อาจจะไม่ได้มีปัญหาเรื่องของการจัดหาวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็น พริก พริกไทย หรือกระชายดำ และมีฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง อีกทั้งมีกลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับเทรนด์ของประเทศ ซึ่งปี 2567 BLC มีมูลค่าอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท ตั้งเป้า 2,000 ล้านบาทในปี 2569 โดยวางเป้าหมายรายได้เติบโตเฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปี และปัจจุบันปี 2568 มีการเติบโตอยู่ที่ 11-12% เป็นการเติบโตลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคน้อยลง” 

ภาวะเศรษฐกิจหรือภาษีทรัมป์ อาจจะไม่กระทบต่อภาพรวมของ BLC หรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย เนื่องจากไม่ได้มีการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐ แต่มีการส่งออกไปยังประเทศในอาเซียน แต่ได้รับผลกระทบในเรื่องของผู้บริโภค เศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อของคนน้อยลง

ภก.สุวิทย์ กล่าวอีกว่าปัจจัยที่ทำให้ไทยไม่สามารถผลิตยาสังเคราะห์ ยาสามัญใหม่ๆ ได้ด้วยตนเอง เพราะเราต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันต้องมีเทคโนโลยีใหม่ๆ และการผลิตยา หรือพัฒนายาเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม กระทรวงหลายภาพส่วน  ซึ่งการจะพึ่งพาตนเองได้ ทุกภาคส่วนต้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน ผลักดันให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ต่อเนื่อง และต้องฟื้นฟูสมุนไพร ไม่ควรมองว่าแพทย์ทางเลือกเป็นตลาดเล็ก แต่ควรนำภูมิปัญญาไทยมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และส่งเสริมให้แพทย์แผนปัจจุบันใช้ ต้องมีการทำวิจัยทางการแพทย์ 

‘BLC’ ดัน ‘สมุนไพรนวัตกรรม’เสนอภาครัฐทำงานร่วม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

ดึงจุดเด่นด้านวิจัย  บูรณาการทุกกระทรวง

“BLC นำจุดเด่นด้านการวิจัย พัฒนานวัตกรรมสมุนไพร ด้วยกระบวนการผลิตที่เทียบเท่ายาแผนปัจจุบัน จะช่วยสร้างการเติบโตอย่างไรให้อุตสาหกรรมยาของไทย พร้อมทั้งการจัดทำแผนแม่บทในการทำให้แหล่งวัตถุดิบที่เกษตรกรปลูกได้มาตรฐาน พัฒนาซัพพลายเชน หน่วยงานของรัฐต้องมีการทำงานด้วยกัน สนับสนุนในแง่ของการผลิต เทคโนโลยีมีความก้าวหน้า และการขึ้นทะเบียนยาและผลิตภัณฑ์สมุนไพรต่างๆ รวมทั้งควรมีงบประมาณในการใช้ยาสมุนไพรในระบบสุขภาพมากขึ้น  และผลักดันให้เป็น Soft Power อย่างชัดเจน มีการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ในประเทศต่างๆ ที่สนใจ เช่น จีน ซอฟต์พาวเวอร์ ทำอย่างไรขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในประเทศจีน” 

ภก.สุวิทย์ กล่าวด้วยว่า BLC มีการเน้นสินค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นเรื่องความน่าเชื่อถือ เป็นกลุ่มอาหารเสริม และเวชสำอาง กลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำอย่างไรให้ผู้บริโภคเชื่อถือผลิตภัณฑ์มากขึ้น และในส่วนของรพ. ร้านยา มุ่งไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ Aging Society มีการนำสมุนไพรไปดูแลเรื่องความงาม เน้นของดี ราคาถูก ในตลาดออนไลน์ต้องสร้างจุดต่าง เราคงไม่ทำสินค้าเหมือนคนอื่นๆ 

“การพัฒนาสมุนไพร จะต้องเป็นสมุนไพรที่มีมาตรฐาน มีความคุ้มค่าในเชิงอุตสาหกรรม ต้องมีความเข้มแข็งด้านงานวิจัย มองหาสมุนไพรเชิงอุตสาหกรรมที่มีความรู้ความชำนาญ และมีการระดมทุน เพราะสินค้า 1 ตัว ใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท การจะให้อุตสาหกรรมยาในประเทศไทยแข่งขันในระดับสากลได้ ต้องเข้าถึงแหล่งทุน ดังนั้น อยากฝากไปยังนักลงทุน บริษัทในธุรกิจยาควรมีศักยภาพในแง่ของการลงทุน ต้องสร้างความเข้าใจกับโรงงานยาในเมืองไทยให้มีศักยภาพ มาตรฐานมากขึ้น และภาครัฐควรเป็นหัวหอกในการหาพาทเนอร์ สนับสนุนแหล่งวัตถุดิบ การแปรรูป การให้ความรู้ การขึ้นทะเบียน การมาตรฐาน สินค้าตรวจสอบย้อนกลับได้ และปรับใช้ในระบบสุขภาพ”

‘BLC’ ดัน ‘สมุนไพรนวัตกรรม’เสนอภาครัฐทำงานร่วม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

‘BLC’ ดัน ‘สมุนไพรนวัตกรรม’เสนอภาครัฐทำงานร่วม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

‘BLC’ ดัน ‘สมุนไพรนวัตกรรม’เสนอภาครัฐทำงานร่วม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

‘BLC’ ดัน ‘สมุนไพรนวัตกรรม’เสนอภาครัฐทำงานร่วม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

‘BLC’ ดัน ‘สมุนไพรนวัตกรรม’เสนอภาครัฐทำงานร่วม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

‘BLC’ ดัน ‘สมุนไพรนวัตกรรม’เสนอภาครัฐทำงานร่วม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

‘BLC’ ดัน ‘สมุนไพรนวัตกรรม’เสนอภาครัฐทำงานร่วม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ