'อภิสิทธิ์'ตำหนิ'บวรศักดิ์' ปลุกปชช.สู้นักการเมือง

'อภิสิทธิ์'ตำหนิ'บวรศักดิ์' ปลุกปชช.สู้นักการเมือง

“อภิสิทธิ์” ตำหนิ “บวรศักดิ์” ปลุกปชช. สู้นักการเมือง ชี้ไม่สร้างสรรค์-สร้างปมขัดแย้ง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันปกป้องร่างรัฐธรรมนูญจากนักการเมือง ที่ออกมาต่อต้านเพราะเสียประโยชน์ ว่าตนอยากให้ประธานกรรมาธิการฯ ใช้เหตุผลในการแลกเปลี่ยนกับผู้ที่แสดงความเห็น ซึ่งก็แปลกใจว่าเมื่อวาน (29 เม.ย.58) จะเจาะจงในการตอบโต้ตนโดยพูดรวมถึงเรื่องอื่นด้วย  

“สิ่งที่ผมต้องการมากกว่า คือ คำชี้แจงใน 3 มาตราที่เป็นอันตรายกับประเทศชาติ และไม่เกี่ยวอะไรกับผลประโยชน์นักการเมืองเลย คือ มาตรา 181 , 182 กับการให้อำนาจคณะกรรมการปรองดองฯ เสนอพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษให้กับบุคคล ที่ให้ข้อมูลหรือสำนึกผิดต่อคณะกรรมการฯจะเป็นช่องทางนำไปสู่ความขัดแย้ง เป็นการเขียนที่ผิดปกติ สวนทางกับคำชี้แจงของประธานกรรมาธิการฯ ที่อ้างว่าเป็นการตราพระราชกฤษฎีกาในลักษณะทั่วไป แต่รัฐธรรมนูญที่ร่างเจาะจงให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับกรรมการปรองดองโดยตรง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณีที่นายบวรศักดิ์ อ้างว่าเป็นการเสนอพระราชกฤษฎีกาตามปกตินั้นความจริงไม่ปกติ เพราะกระบวนการตราพระราชกฤษฎีกา ตามปกติมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตราอื่นแล้ว คือ เป็นอำนาจของพระมหากษัตริย์ แต่ที่เขียนใหม่ให้อำนาจกรรมการปรองดองและให้เป็นความรับผิดชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.)ที่จะต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ โดยส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ประเด็นเหล่านี้กลายเป็นประเด็นสาธารณะ ในขั้นตอนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ประกอบกับการเขียนเช่นนี้ถ้าบอกว่า เป็นเรื่องปกติก็ไม่จำเป็นต้องเขียน เว้นแต่ว่าการเสนอของกรรมการปรองดองฯจะไม่ทำตามแนวปฏิบัติที่เคยทำ เช่น ไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรม อภัยโทษให้กับคนที่ทุจริตคอร์รัปชั่น ทั้งนี้ยืนยันว่าแม้ไม่มีมาตรานี้ ก็ไม่เป็นอุปสรรคปัญหาในการทำงานเรื่องการปรองดอง

“ท่านพูดเรื่องคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ และค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ผมก็อยากจะย้ำว่างานของ คอป.และคณะกรรมการปฏิรูปที่ตั้งในสมัยผม เสร็จสิ้นหลังจากที่ผมพ้นจากตำแหน่งหรือในขณะที่ผมพ้นตำแหน่งพอดี แต่มันไม่ได้สูญเปล่ามีกระบวนการทางการเมืองที่ต่อเนื่องอยู่ เพียงแต่รัฐบาลแต่ละชุดให้ความสำคัญไม่เหมือนกัน ไม่เช่นนั้นทุกวันนี้คงไม่มีการพูดเรื่องภาษีที่ดิน พ.ร.บ.จังหวัดจัดการตนเอง สิ่งที่ผมพยายามเสนอด้วยความสร้างสรรค์ว่า ถ้าอยากทำปรองดองให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมอย่าเปิดทางสร้างเงื่อนไขใหม่ จะบอกว่าผมระแวงเกินเหตุหรือไม่ ผมไม่ทราบท่านจำได้หรือเปล่า ว่าวันที่มีการพยายามลากสถาบันพระปกเกล้า ไปทำเรื่องนิรโทษกรรม ผมแสดงความเห็นค่อนข้างรุนแรงว่าจะนำไปสู่กฎหมายนิรโทษกรรม ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งแล้วก็เกิดขึ้นจริง ถ้าบอกว่านั่นเป็นความระแวง ผมก็บอกว่าเป็นความระแวงที่ ในที่สุดพิสูจน์ออกมาว่าสมควรระแวง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว 

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขอให้นายบวรศักดิ์ ตอบถึงเหตุผล ความจำเป็นเพื่อช่วยกันทำให้รัฐธรรมนูญดีขึ้น มาตรา 181 และ 182 ที่ให้อำนาจนักการเมืองที่บ้าอำนาจ ตนไม่เห็นด้วยเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับประโยชน์ของนักการเมืองแต่เป็นประโยชน์ของความเหมาะสมในการถ่วงดุลและการรักษาหลักการตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติ

“ผมจึงขอว่าอย่าพูดรวมเพราะ 3 ประเด็นที่ผมยกขึ้นมานั้น ไม่ใช่ประโยชน์ของนักการเมือง ตรงกันข้ามจะเป็นประโยชน์เฉพาะนักการเมืองโกง และนักการเมืองที่บ้าอำนาจ จะบอกว่าพรรคใหญ่ประสานเสียงกันก็ไม่จริง เพราะไม่ได้ยินพรรคไหนพูดเรื่องอภัยโทษ หรือการให้อำนาจพิเศษออกกฎหมายภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งยืนยันได้ว่าถ้ามีบทบัญญัติแบบนี้กฎหมายนิรโทษกรรมก็คงผ่านโดยง่าย และผมก็ไม่เห็นพรรคการเมืองไหน พูดเรื่องนายกฯเปิดญัตติอภิปรายไว้วางใจตัวเองได้ เพราะฉะนั้นกรุณาแยกแยะ เนื่องจากความน่าเชื่อถือที่จะมีต่อรัฐธรรมนูญ ในที่สุดอยู่ที่เหตุผลของกรรมาธิการฯ ถ้าเหตุผลไม่ชัดเจนสุดท้ายงานท่านจะสูญเปล่า ผมพูดด้วยความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง ไม่ใช่โจมตีหรือมีอคติกับผู้ร่าง แต่มีจุดอ่อนที่เป็นอันตราย เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องท้วงติง จึงอยากให้ท่านตอบอย่างสร้างสรรค์ด้วย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่นายบวรศักดิ์ อ้างว่าหาก ครม.ไม่เห็นชอบหรือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่พระราชทานลงมา ก็ถือว่าร่างพระราชกฤษฎีกาที่เสนอโดยคณะกรรมการปรองดองฯจบไปหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มี 2 ประเด็นคือ ในส่วนของครม.เขียนว่า ก่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อครม.จะมีปัญหาทางกฎหมายตามมา ให้เป็นวิกฤตความขัดแย้งในประเทศอีกหรือไม่ และน่าสังเกตว่าเรื่องปฏิรูปเขียนชัดว่าถ้าครม.ไม่เอา แล้วให้ประชาชนตัดสินผ่านกระบวนการประชามติ แต่เรื่องนี้ไม่เขียนบอกว่าก่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อครม.เท่านั้น จึงอยากถามว่าไม่เป็นการสร้างความขัดแย้งขึ้นหรือ หากครม.ไม่ทำตาม  

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กรณีองค์พระมหากษัตริย์อยากถามนายบวรศักดิ์ว่า สมควรแล้วหรือ ถ้าเป็นพระราชอำนาจที่จะให้สถาบันพระมหากษัตริย์ เข้ามาอยู่ในวังวนความขัดแย้งทางการเมือง จึงอยากให้รับฟังเหตุผล ตนไม่ได้ตำหนิ แม้ว่าอาจมองคนละมุม แต่ไม่ควรมองข้ามเรื่องที่ตนและนักวิชาการ ออกมาเตือน ไม่มีพรรคการเมืองอื่นพูดเรื่องนี้เลย  

ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่ากรรมาธิการฯมีธงเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นหรือไม่ เพราะตอนหลังเริ่มพูดว่าให้รัฐธรรมนูญใช้ไปก่อน 5 ปีแล้วค่อยแก้ไข ซึ่งตรงกับวาระที่กำหนดในภาค 4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดองพอดี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า บางเรื่องอาจถกเถียงกันได้ว่าใช้แล้วจะเป็นผลอย่างไร โดยเฉพาะบทบัญญัติที่เกี่ยวกับกระบวนการทำงานทางการเมือง แต่บางเรื่องที่ตนทักท้วงหากใช้ในทางที่ผิดเพียงครั้งเดียว ความเสียหายใหญ่หลวง กว่าที่จะบอกว่าไม่เป็นไร รอหลังจากนั้นแล้วค่อยมาแก้ไข ถ้าอยากลองใช้บางเรื่อง เช่น ระบบเลือกตั้ง ก็ทำได้ แต่เรื่องที่เปิดโอกาสให้เกิดความขัดแย้งวิกฤตในบ้านเมือง กรุณาอย่าเอาประเทศไปเสี่ยง  

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เห็นท่าทีของกรรมาธิการฯในช่วงแรก บอกว่าพร้อมรับฟังความเห็น แต่แปลกใจว่าเริ่มใช้วิธีมุ่งโจมตีคนเห็นต่าง ทั้งๆ ที่ถ้าตนจะทำบ้างก็ทำได้ แต่เห็นว่าไม่สร้างสรรค์ สวนทางกับที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)หรือกรรมาธิการยกร่างฯอ้างเสมอว่าทำไมไม่เอาเรื่องสาระมาเพื่อนำพาบ้านเมืองไปข้างหน้า

ส่วนกรณีที่กรรมาธิการฯระบุว่าในวันที่ 6 มิ.ย.นี้ จะเชิญตัวแทนจาก 10 พรรคการเมือง ที่มีส.ส.ในสภาครั้งที่ผ่านมา ไปเสนอความเห็นต่อกรรมาธิการฯนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เห็นแต่ที่ให้ส่งเอกสารไป ซึ่งหากมีการเชิญมาจริงตนพร้อมที่จะไปด้วยตัวเอง โดยไม่คิดตำหนิใคร เพราะเห็นใจว่าคงเครียดเนื่องจากโดนหลายทาง แต่น่าจะใช้โอกาสนี้ทำให้กระบวนการเปิดกว้าง และเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ถ้าจะชวนคนทะเลาะมีคนพร้อมทะเลาะเยอะไปหมด ไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง อย่าทำเลย เพราะตนให้ความร่วมมือเต็มที่ แต่แปลกใจว่าข้อท้วงติงที่เป็นเหตุเป็นผลไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์นักการเมือง ทำไมจึงใช้วิธีแบบนี้ตอบโต้ ตนจึงเป็นห่วงว่าถ้าเดินไปแบบนี้สุดท้ายรัฐธรรมนูญจะเจอปัญหาและชนวนความขัดแย้ง

ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนิรโทษกรรมจะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำไม่ได้ในรัฐบาลเลือกตั้ง แต่ทำได้ในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายกฯก็บอกว่าไม่ทำ แต่ถ้าร่างรัฐธรรมนูญนี้ผ่านไปก็ไม่ทราบใครจะเป็นคนได้ใช้ ได้ทำ แต่มีคำถามว่าสังคมผ่านวิกฤต 2 ปี ด้วยเหตุจากการพยายามออกกฎหมายนิรโทษกรรม ทำไมจึงจะย้อนกลับไปสู่สถานการณ์เดิม วันนี้ให้นิรโทษกรรมประชาชนที่ไปชุมนุมฝ่าฝืนกฎหมายพิเศษทุกกลุ่มเลย ไม่มีใครคัดค้านแม้แต่คนเดียว จะได้เลิกเอาเรื่องนิรโทษกรรมมาเป็นข้ออ้างโดยเอาประชาชนผู้บริสุทธิ์ มาเป็นตัวประกันที่จะพ่วงกับแกนนำและคนโกง ถ้าทำก็ไม่ต้องระแวง แต่ไม่ทำ ทำไมจึงต้องย้อนไปเปิดประตูที่มาของวิกฤตครั้งที่แล้วให้กลับมาอีกรอบ 

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขอฝากถึง คสช.และครม.ที่มีสิทธิ์แปรญัตติร่างรัฐธรรมนูญ ต่อกรรมาธิการยกร่างฯว่า อยากให้เสนอแก้ไข 3 มาตราที่ตนหยิบยกขึ้นมาและอยากให้ฟังเหตุผลในเรื่องอื่นๆ อย่าเอาประโยชน์นักการเมืองมาพิจารณา แต่ให้ฟังที่เหตุผลแม้จะเป็นคำพูดของนักการเมือง ขอให้ห่วงการเมือง ห่วงระบบบ้านเมือง เพราะฉะนั้นอย่ามาตอบโต้อีกว่า นักการเมืองมีปัญหา เพราะนักการเมืองที่โกงไม่ต่อต้านเรื่องนี้ แต่นักการเมืองที่ไม่โกงต่างหากที่ออกมาพูด ขอให้ฟังบ้าง ไม่อยากให้กลายเป็นการมาทะเลาะกันในอนาคต ตนอยากให้จบไม่ใช่มาเถียงเรื่องรัฐธรรมนูญอีก แต่เดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ ระบบสวัสดิการ รับมือกับสังคมผู้สูงอายุ และอาเซียน ไม่ใช่มาขัดแย้งเรื่องแก้รัฐธรรมนูญอีก บ้านเมืองจะได้เดินไปข้างหน้า  

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯบอกว่าการทำประชามติเป็นเรื่องของกรรมาธิการฯกับสปช.จะตัดสินใจ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คนที่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ คือ คสช.และครม.จะต้องเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 57 ให้มีการทำประชามติได้ก่อน แต่ต้องมีความชัดเจนเรื่องนโยบายก่อนว่า อยากให้มีประชามติหรือไม่ ถ้าอยากให้มีก็แก้กฎหมาย แต่ถ้าไม่อยากให้มีก็ต้องบอกว่าไม่อยากให้มี เพียงแต่ผู้เสนอให้ทำประชามติเห็นว่าจะช่วยลดความขัดแย้งในการใช้รัฐธรรมนูญได้  

“คสช.เข้ามาเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3 ออกไปแล้วคงไม่อยากเห็นว่าต้องมาทะเลาะ มารื้อ มาแก้รัฐธรรมนูญอีก จึงอยากให้สร้างกระบวนการที่สร้างความมั่นใจ ว่าจะทำให้ดีเพื่อบ้านเมืองเดินหน้าได้ ถ้าจะทำประชามติไม่ว่าก่อนหรือหลังลงมติก็สามารถทำได้ทั้ง 2 อย่าง คือ ถ้าทำหลังการลงมติ สปช.ก็เท่ากับผ่านสองด่าน คือ สปช.แล้วไปประชามติ และผมยืดหยุ่นถ้าเห็นว่า ข้อเสนอที่ให้เทียบกับรัฐธรรมนูญปี 50 ยังไม่ดีก็ให้คิดทางเลือก แต่ต้องมีเป้าหมายว่าก่อนมีกติกาไปใช้เป็นกติกาที่ประชาชนยอมรับ จะได้ไม่มีข้อขัดแย้ง จึงควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่ง ไปเปรียบเทียบด้วยจะดีที่สุด หรือบอกให้ชัดว่าถ้าไม่รับแล้วจะทำอะไร เพราะไม่อยากคาดคั้นว่าต้องทำอะไร ถ้าใช้วิธีไม่ผ่านร่างใหม่ก็อยากให้กระบวนการร่างชัดเจน เพราะถ้าไม่จบไม่สิ้นก็ไม่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย แรงกดดันจะกลับมาที่ตัวท่านเอง อาจจะช่วยกันคิดว่าถ้าจะร่างใหม่ทำอย่างไรไม่ให้ซ้ำรอยเดิม ผมยืนยันว่า อยากให้กติกาดีมากกว่ารีบเลือกตั้ง ภายใต้กติกาที่สร้างปัญหาบ้านเมือง ถ้าจุดยืนอย่างนี้ยังบอกว่านักการเมืองคิดแต่ประโยชน์ตัวเอง ก็ไม่รู้จะว่าอะไรแล้ว เพราะบอกเลยว่าไม่รีบร้อนที่จะกลับเข้าสู่อำนาจการเป็นส.ส.หรืออะไรเลยแต่ต้องการกติกาที่ดีสำหรับบ้านเมือง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว