เศรษฐีไทย “ขอรวยในบ้าน” ไม่อินกระแสอสังหาฯเมืองนอก

เศรษฐีไทย “ขอรวยในบ้าน” ไม่อินกระแสอสังหาฯเมืองนอก

แม้เทรนด์ลงทุนอสังหาฯนอกบ้าน กำลัง “ฮอตฮิต” ทว่าเศรษฐีไทยกลับคิดต่าง หาจังหวะเก็บที่ดิน “4 ทำเลทองทั่วเมืองไทย”หวังโกยผลตอบแทนเฉียด100%

ขณะที่ “อภิมหาเศรษฐีทั่วโลก” อาศัยช่วงจังหวะที่ภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างเปราะบาง หลังต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ชะลอตัว และสงครามค่าเงิน หลังธนาคารกลางในประเทศต่างๆ เร่งลดดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้สกุลเงินอ่อนค่า เป็นต้น ออกไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศมากขึ้น เพราะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา อสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ ถือเป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง “ตัวเลขสองหลัก”

ทว่า “มหาเศรษฐีสัญชาติไทย” ส่วนใหญ่กลับไม่มีความคิดเช่นนั้น เพราะคนรวยหลายรายยังคง “ปักหลัก” ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยต่อไป แม้ว่า ในปี 2558 -2559 แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงที่อาจขยายตัวต่ำ หลังมีหลายความเสี่ยงรุมล้อม เช่น การส่งออกอาจฟื้นตัวต่ำ และการบริโภคภาคเอกชนได้รับการกดดัน จากภาระหนี้ภาค ครัวเรือน รายได้เกษตรกรตกต่ำ และภาวะเงินฝืด

สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของ “ธนาคารเกียรตินาคิน” ที่ระบุว่า การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยยังคงเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดี เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ

โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนต่อปีจากการลงทุนในบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม ทาวเฮ้าส์ และราคาที่ดิน อยู่ในระดับเฉลี่ย 5.1%-6.4%-7.3% และ 9% ตามลำดับ (ค่าเฉลี่ยของ 4 ธนาคารใหญ่)

ขณะที่ผลตอบแทนจากกองทุน property indirect fund อยู่สูงถึง 11% ต่อปี ถือเป็นตัวเลขเฉลี่ยที่สูง เมื่อเทียบหุ้น SET100 ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.5% ต่อปี และกองทุนเปิด Global Bond Fund ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.1% ต่อปี เป็นต้น

สำหรับปัจจัยที่ทำให้การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์น่าสนใจกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ มาจาก 4 ปัจจัยหลัก นั่นคือ 1.การขยายตัวของเมืองที่มีแนวโน้มมากขึ้น 2.รัฐบาลมีแผนลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการรถไฟฟ้า และการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ 3.ปริมาณที่ดินที่มีจำนวนจำกัดหรือคงที่ ทำให้ราคาที่ดินในระยะยาวมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.การกำหนดราคาประเมินที่ดินใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ราคาประเมินที่ดินฉบับใหม่ประจำปี 2559-2562 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยทั่วประเทศ 10-15% โดยราคาที่ดินแถวสีลมจะขึ้นจาก 8.5 แสนบาทต่อตร.ว.เป็น 9 แสนบาท-1 ล้านบาทต่อตร.ว และที่ดินแถวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเพิ่มขึ้น 10-20% อย่างไรก็ดีที่ดินในต่างจังหวัด โดยเฉพาะหัวเมืองหลัก เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น และนครราชสีมา รวมถึงจังหวัดชายแดน เช่น ตาก มุกดาหาร และสระแก้ว ก็มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน

สำหรับ “จังหวัดดาวรุ่ง” ที่เหมาะกับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ 1.กรุงเทพฯและปริมณฑล คือ กรุงเทพฯ นนทบุรี นครปฐม และสมุทรปราการ 2.จังหวัดหัวเมืองใหญ่ คือ เชียงใหม่ ภูเก็ต พิษณุโลก ขอนแก่น และชลบุรี 3.จังหวัดหน้าด่านชายแดน เช่น สงขลา เชียงราย ตาก มุกดาหาร หนองคาย และกาญจบุรี

โดยที่ดินแถวกรุงเทพฯและปริมณฑลจะได้รับผลดี จากเมืองที่ขยายตัวมากขึ้น และการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า ส่วนที่ดินในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ จะได้รับผลดีจากการค้า การลงทุน และท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และจากการขยายจุดเชื่อมเส้นทาง GMS (ถนนเชื่อมประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง) สำหรับที่ดินแถวจังหวัดหน้าด่านชายแดน จะได้ผลดีจากการค้าและการลงทุนตามแนวชายแดนที่เพิ่มขึ้น และการมีเขตเศรษฐกิจพิเศษ

“ปิง-ขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย” Master Trainer และ International Speakers ประจำ บริษัท แม็กซิมั่มโพเทนเชียลพาร์ทเนอร์ส จำกัด ในฐานะกูรูเรื่องอสังหาริมทรัพย์ บอกกับ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ว่า มหาเศรษฐีสัญชาติไทยไม่ค่อยนิยมออกไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศมากนัก ส่วนใหญ่จะซื้ออสังหาฯต่างประเทศเพื่ออยู่อาศัยมากกว่า

โดยเศรษฐีคนไทยส่วนมากยังชอบลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศมากกว่า !!

สำหรับ “4 ทำเลทอง” ที่คนมีสตางค์ถูกใจในตอนนี้ คือ

คอนโดมิเนียมอสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่แถบกรุงเทพชั้นใน ที่มีราคาขายตั้งแต่ 2 -3 แสนบาทต่อตร.ม.ซึ่งในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีโครงการประเภทดังกล่าวเปิดมาแล้วกว่า 10 แห่ง และภายในปี 2558 จะมีโครงการใหม่ทยอยประมาณกว่า 10 แห่ง แต่ราคาจะแพงขึ้นประมาณ 5%

“โครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่มีราคาขายตั้งแต่ 2.5 แสนบาทต่อตร.ม.ถือเป็นสินทรัพย์ที่เหล่าคนรวยสนใจลงทุนเช่นกัน”  ขวัญชัย บอกอย่างนั้น

โครงการหรือที่ดินที่อยู่ตามหัวเมืองใหญ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น และชลบุรี ซึ่งจังหวัดดังกล่าวนักท่องเที่ยวนิยมไปพักผ่อน ฉะนั้นที่อยู่อาศัยที่ปล่อยเช่าวันละ 1.5-2.5 พันบาทต่อวัน อาจได้รับความสนใจค่อนข้างมาก

โครงการที่อยู่ตามแนวสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูง ปัจจุบันที่ดินแถวพัทยา หัวหิน และนครสวรรค์ ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วประมาณ 200-300% หลังนักลงทุนหลายรายคาดการณ์ว่า สถานีรถไฟความเร็วสูงจะไปเปิดแถวนั้น

ที่ดินหรือโครงการแนวตะเข็บชายแดนที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเปิดประชาคมเศรษฐีอาเซียน หรือ AEC

โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วค่อนข้างมาก โดยเฉพาะถนนชยางกูร จังหวัดมุกดาหาร ที่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากไร่ละ 1 ล้านบาท เป็น 7-10 ล้านบาทต่อไร่ และถนนดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร ราคาขึ้นจาก 6 แสนบาท-1 ล้านบาทต่อไร่ เป็น 1.5-4 ล้านบาทต่อไร่

ขณะเดียวกัน ที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี มหาสารคาม และนครพนม โดยเฉพาะแถวชายแดน ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว 100-200% นอกจากนั้นที่ดินแถวสะพานข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ 2 อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ยังได้ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า “ร้อยเปอร์เซ็นต์” เช่นกัน เมื่อเทียบกับปี 2557 หลังทางการขยายเลนถนนออกเป็น 4 เลน

สำหรับนักลงทุนที่สนใจเข้ามาลงทุนในทำเลทองมีด้วยกัน 3 ประเภท คือ 1.นายทุนต่างจังหวัด 2.นายทุนท้องถิ่น 3.นายทุนกรุงเทพฯ ซึ่งคนเหล่านี้มี “เงินเย็น” พร้อมนำออกมาลงทุนในยามที่ถาวะเศรษฐกิจอ่อนแรง

“นักลงทุนอสังหาฯ” ย้ำว่า หากใครคิดจะลงทุนใน 4 ทำเลทอง ณ วันนี้ รับรองได้ผลตอบแทนดีแน่นอน แต่อาจไม่แตะ “ร้อยเปอร์เซ็นต์” เพราะราคาอสังหาริมทรัพย์และที่ดินได้วิ่งขึ้นมาแล้วในช่วง 1-2 ปีก่อน นอกเสียจากว่า คุณมีความรู้และคุ้นเคยในย่านนั้นเป็นอย่างดี

สำหรับทำเลที่จะได้ประโยชน์จาก AEC อาจพอมีลุ้นที่จะได้กำไรหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ เว้นแต่ว่า เปิด AEC มาแล้ว 6 เดือนถึง 2 ปี แต่เศรษฐกิจไม่คึกคัดอย่างที่คิด หากเป็นเช่นนั้น ราคาอสังหาฯและที่ดินบริเวณนั้น อาจลดลงหรือทรงตัว ฉะนั้นต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวเรื่อง AEC ให้ดีๆ

“ในช่วงที่เศรษฐีไทยแห่ไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่คนฐานะปานกลางกลับมีกำลังซื้อลดลง ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยในประเทศที่มีระดับราคา 2-5 ล้านบาท มีกำลังซื้ออ่อนแรง” “ขวัญชัย” กล่าว

--------------------------------------

ดูดเศรษฐีไทย ลุย “อสังหาฯนอกบ้าน”

ขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย วิเคราะห์การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศว่า ปัจจุบันมหาเศรษฐีต่างประเทศนิยมออกไปแสวงหากำไร จากอสังหาริมทรัพย์ใน 5 ประเภทหลัก คือ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ,แมนแฮตตัน นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ,ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย,ประเทศดูไบ และประเทศฮ่องกง

ทั้งนี้เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์ในประเทศดังกล่าว “ซื้อง่ายขายคล่อง” ที่สำคัญยังเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งของค่าเงิน และมีการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ยิ่งอสังหาริมทรัพย์ในประเทศฮ่องกงยิ่ง “ฮอตฮิต” เพราะประเทศดังกล่าวถือเป็นศูนย์รวมของทุกแบงก์ ทำให้การทำธุรกรรมไม่ยุ่งยากเกินไป ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่า 5 ประเภทจะเป็นตัวแทนของแต่ละทวีป

“ผลตอบแทนจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศจะอยู่เฉลี่ย 5-20% ต่อปี แม้จะสูงแต่คนไทยไม่นิยม เพราะลงทุนในบ้านเราคุ้มกว่าและเสี่ยงน้อยกว่า” “ชายหนุ่มวัย 28 ปี บอก

สอดคล้องกับคำพูดของ “พนม กาญจนเทียมเท่า” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกที่มีเครือข่ายอยู่ใน 55 ประเทศทั่วโลก ระบุว่า ปัจจุบันอภิมหาเศรษฐีทั่วโลกนิยมกระจายความเสี่ยงไปในตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ โดยเฉพาะในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจได้ผ่านพ้น “จุดต่ำสุด” ไปแล้ว

ขณะที่ในแง่ของกำไรจากการลงทุนถือว่า ให้ผลตอบแทนที่ดี เพราะหากมองไปในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะพบว่า ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในเมืองอาจให้ผลตอบแทนประมาณ 22.5% ส่วนรอบนอกเมืองจะอยู่ระดับ 25.8% อย่างไรก็ดีในช่วงปี 2557 ผลตอบแทนจากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนอยู่ระดับ 3.3% ส่วนการซื้อเพื่อปล่อยเช่าจะอยู่ระดับ 4%

ทั้งนี้ “จุดเด่น” ที่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนไม่เหมือนประเทศอื่น คือ 1.มีสินค้าน้อย ทำให้นักลงทุนที่ต้องการซื้อเพื่อเก็งกำไรมีสัดส่วนน้อยไปด้วย ส่วนใหญ่จะซื้อเพียงเป็นเจ้าของอย่างน้อย 1-2 ปีมากกว่า ฉะนั้นหากใครอยากเป็นเจ้าของต่อก็สามารถทำได้เลย ถ้าเจ้าของเดิมขาย 2.ลอนดอนเป็นตลาดนานาชาติ มีลูกค้าหลากหลายจากทุกมุมโลก ดังนั้นเมื่อนักลงทุนต้องการถอนการลงทุนมักทำได้ง่ายกว่าตลาดอื่นๆ เพราะความต้องการอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนมีตลอดเวลา

ลอนดอนมีเสถียรภาพทางการเมือง ส่งผลให้สินทรัพย์ต่างๆมีราคานิ่ง ไม่เหมือนตลาดประเทศออสเตรเลีย ที่จะเน้นลูกค้าเมืองจีนมากถึง 29% ฉะนั้นหากเกิดอะไรขึ้นมาอาจขายอสังหาริมทรัพย์ต่อค่อนข้างยาก 4.เศรษฐกิจของประเทศอังกฤษ มีข้อได้เปรียบอยู่ตรงที่ “สกุลเงินปอนด์” ที่ไม่ได้ผูกติดอยู่กับประเทศอื่นเหมือนแถบยุโรปบางประเทศ ซึ่งการมีสกุลเงินเป็นของตัวเองต่อให้เศรษฐกิจไม่ดีหรือเกิดปัญหาในอนาคต ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงกรุงลอนดอน เป็นเมืองศูนย์กลางของเศรษฐกิจ การลงทุน ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงเป็นเมืองแห่งการศึกษาที่เศรษฐีทั่วโลกนิยมส่งลูกไปเรียน ทำให้ความต้องการที่พักอาศัยสูงมาก

อย่างไรก็ดี การขออนุญาตก่อสร้างหรือพัฒนาโครงการใหม่ทำได้ยากและใช้เวลานาน ทำให้มีสินค้าเกิดใหม่ในตลาดน้อยมาก บางทำเลหากต้องการเช่าอพาร์ทเมนต์ หรือหอพัก ต้องลงทะเบียนจองนาน 1-2 ปี จึงจะสามารถเช่าได้ ทำให้อัตราการเช่าของหอพัก อพาร์ตเมนต์สูงเกือบ 100% ฉะนั้นการที่ประเทศอังกฤษจะลงทุนในระบบสาธารณูปโภคอาจทำให้มีที่อยู่อาศัยเกิดใหม่ในกรุงลอนดอนประมาณ 35,000 ยูนิต ในขณะที่ความต้องการมีสูงถึง 50,000 ยูนิต

“อภิมหาเศรษฐีได้ให้ความสำคัญกับตลาดบ้านหลังที่สองในแถบยุโรปมากขึ้น หลังมีมูลค่าลดลงเฉลี่ย 0.4% ในปีที่ผ่านมา ขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาปรับตัวสูงขึ้น”

“กรรมการผู้จัดการไนท์แฟรงค์” ยังเล่าถึงผลสำรวจความมั่งคั่งในปี 2558 ว่า จากการศึกษาเรื่องการเติบโตของ “กลุ่มอภิมหาเศรษฐี” หรือผู้ที่มีสินทรัพย์มากกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ใน 97 ประเทศทั่วโลก พบว่า ในปี 2557 แถบเอเชียมีอัตราการเติบโตของจำนวนอภิมหาเศรษฐีสูงสุดที่ระดับ 3.1% เมื่อเทียบกับจำนวนอภิมหาเศรษฐีทั่วโลก 172,850 คน ซึ่งในปีก่อนแถบเอเซียมีนักลงทุน 15 คน ติดอันดับมหาเศรษฐี

ทั้งนี้คาดการณ์ว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้า ตัวเลขอภิมหาเศรษฐี จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของแถบเอเชียอาจขยายตัวประมาณ 34% คิดเป็น 2.31 แสนคน ฉะนั้นอาจส่งผลให้คนรวยในแถบเอเชียมีจำนวนแซงหน้าอเมริกาเหนือ

“ตัวเลขอภิมหาเศรษฐีของเมืองไทยในปีก่อนมีประมาณ 540 คน หรือเติบโตประมาณ 2.5% คาดว่าในปี 2567 จะเพิ่มเป็น 58% หรือประมาณ 855 คน” “พนม”กล่าว

เขา พูดต่อว่า จากผลสำรวจยังพบว่า 10 เมืองทั่วโลกที่มีอภิมหาเศรษฐีมากสุด คือ นิวยอร์ก,ลอนดอน,เซาเปาโล,สิงคโปร์,ฮ่องกง,มุมไบ,ปักกิ่ง,เซียงไฮ้,หางโจว และจาการ์ต้า ซึ่งจะเห็นว่า 7 เมืองใน 10 เมืองอยู่ในแถบอาเชีย

ส่วนอภิมหาเศรษฐีในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาที่มีการเติบโตมากที่สุด คือ ประเทศเวียดนามเติบโต 159% พม่า 132% และอินโดนีเซีย 132% เป็นต้น โดยปัจจัยที่ทำให้กลุ่มประเทศเหล่านี้มีอภิมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้น นอกจากจะเป็นเพราะเศรษฐกิจท้องถิ่นของประเทศขยายตัวแล้วยังเป็นเพราะว่า มีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก

“ราคาอสังหาริมทรัพย์ซิดนีย์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ขยับขึ้น 11% โตเกียว 8% กรุงเทพฯ 5% มุมไบ 3% ฮ่องกง 1% เซียงไฮ้ 0% ส่วนสิงคโปร์ ลดลง 12% ซึ่งเป็นผลมาจากมาตราการทางภาษี”

ผู้บริหารไนท์แฟรงค์ ยังวิเคราะห์การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษว่า “จุดเด่น” คืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินอยู่ในระดับต่ำประมาณ 2-2.75% ขึ้นอยู่กับการเจรจา ในขณะที่อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 3.5-4.5% ซึ่งหากกู้เงินมาซื้อเพื่อปล่อยเช่าจะได้ส่วนต่างจากการยืมเงินลงทุนอีกเกือบ 2%

ขณะที่มีอัตราการเช่าสูงเกือบ 100% ตรงข้ามกับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยที่มีอัตราผลตอบแทน 5-5.5% ,เงินกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี 4.5-4.75% ,อัตราการเช่า 75-80% ทำให้ในช่วง 1 ปี สามารถปล่อยเช่าได้เพียงประมาณ 75-80%

นอกจากนั้นประเทศอังกฤษยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเมือง ทำให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ ทั้งโครงการของภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินที่จะมีการขยายเส้นทางเพิ่มเติม รวมถึงการลงทุนระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ที่เชื่อมต่อระหว่างเมือง ทำให้การเดินทางคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดที่อยู่อาศัยในทำเลใหม่ รวมถึงภาคเอกชนยังลงทุนพัฒนาโครงการใหม่จำนวนมาก

ด้าน “ลลิตภัทร ธรณวิกรัย” ผู้จัดการธนบดีธนกิจ หรือ ไพรเวท แบงก์กิ้ง ธนาคารไทยพาณิชย์ บอกว่า ปัจจุบันลูกค้าของธนาคารสนใจเข้าไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากต้องการหาที่อยู่อาศัยให้ลูกหลานที่จะไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ส่วนใหญ่มองว่า “ซื้อจะถูกกว่าเช่า” ดังนั้นธนาคารจะหันมาให้น้ำหนักเรื่องนี้ มากขึ้น

“ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอนน่าสนใจกว่าตลาดอื่นที่มีความผันผวน หลังเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว อย่างไรก็ดีลูกค้าหลายรายยังสนใจเข้าไปลงทุนในอังกฤษ-สหรัฐอเมริกา-ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย”

อย่างไรก็ดีสำหรับเป้าหมายสำคัญของ “เอสซีบี ไพรเวทแบงกิ้ง” คือ ช่วยให้ลูกค้าซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสินทรัพย์สูง (High Net Worth) ที่ปัจจุบันมีจำนวน 10,000 ราย มูลค่าสินทรัพย์รวม (AUM) ประมาณ 600,000 ล้านบาท ให้สามารถบริหารเงิน และเพิ่มพูนความมั่งคั่งได้เต็มศักยภาพ

ด้วยการจัดสรรสินทรัพย์ผ่านการลงทุนที่หลากหลาย (Asset Allocation Management) ที่จะช่วยให้ลูกค้ามองเห็นภาพรวมพอร์ตของตัวเอง สามารถกำหนดหรือปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารพอร์ตได้อย่างเหมาะสม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนที่ยังคงผันผวน

ดังนั้นการลงทุนในสินทรัพย์มีมูลค่า โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นหนึ่งทางเลือกด้านการลงทุนที่นอกจากจะช่วยกระจายความเสี่ยงแล้วยังเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวอีกด้วย

มร. มาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย บอกว่า มหานครลอนดอนเป็นเมืองโกลบอล ซิตี้ (Global City) อันดับ 1 ของโลกที่มีนักลงทุนสนใจเข้าไปลงทุน แซงหน้ามหานครนิวยอร์คที่อยู่ในอันดับ 2 และฮ่องกงมาเป็นอันดับ 3 แต่ปัจจุบันมีคนไทยเพียงจำนวนหนึ่งที่เข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนและเมืองใกล้เคียง

“ลอนดอนมีศักยภาพสูง เหมาะแก่การลงทุน ทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน และระบบการเงินที่ปลอดภัย ที่สำคัญทั้งยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว”