'หมอพลเดช'พบนายกฯ ชี้สั่งปลด7บอร์ดสสส.แค่อุบัติเหตุ

"นพ.พลเดช" อดีตรมว.พม. ชี้คำสั่งปลด7บอร์ด สสส. แค่อุบัติเหตุ รับหารือนายกตั้งแต่6 ม.ค. เผยนายกฯรอยกเลิกคำสั่งตรวจสอบ สสส.หากมีระเบียบใหม่
นพ.พลเดช ปิ่นประทีป ประธานสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา และอดีตรมว.พม. กล่าวยอมรับว่าเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่ผ่านมาตนได้เข้าพบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้องจริง แต่ไม่ได้ไปในฐานะตัวแทนของอดีตกรรมการกองทุนสนับสุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทั้ง 7 คนที่ถูกปลดไป โดยข้อเท็จจริง ตนในฐานะที่เป็นผู้ดูแลเกี่ยวกับประชารัฐได้นัดหมายกับนายกฯ ก่อนเทศการส่งท้ายปีเก่า เพราะมีประเด็นที่จะหารือเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาการดำเนินงานตามนโยบายประชารัฐที่ติดขัดอยู่ โดยนายกฯรับนัดและให้เข้าพบในวันที่ 6 ม.ค. ที่ผ่านมา แต่ในวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมาก็มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ปลดกรรมการกองทุนทั้ง 7 จึงทำให้คนที่เกี่ยวข้องทั้ง พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกฯ ในฐานะประธานบอร์ด สสส. พล.อ.ชาตอุดม ติตถะสิริ ประธาน คตร. และสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ได้ร่วมพูดคุย ซึ่งเป็นการพูดคุยวงใหญ่
นพ.พลเดช กล่าวต่อว่า ประเด็นที้่หารือในวันนั้นมี สองประเด็นเรื่องแรกคือ กรณีการเดินหน้านโยบายประชารัฐที่ยังติดปัยหางบประมาณที่ ส่วนหนึ่งของบสนับสนุนจาก สสส. ซึ่งการแก้ไขปัญหาในส่วนของ สสส. ที่ คตร.ตรวจสอบพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนของการของบและกรรมการกองทุนและ โครงการมี่เสนอไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยส่วนนี้ทำให้โครงการที่ถูกเสนอเข้ามา 3,000-4,000 โครงการยังไม่ได้รับพิจารณาทำให้กระทบไปยังทั่วประเทศ ซึ่งนายกฯได้สั่งการให้แก้ไขด้วยการแยกโครงการออกที่เสนอเข้ามาเป็นสามกลุ่มคือ 1.โครงการที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ สสส. และไม่มีข้อกังขาให้ผ่านการพิจารณา 2.โครงการประชารัฐของรัฐบาลที่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาวะชุมชน สังคม และฐานรากให้ได้รับการผ่านพิจารณา 3.โครงการอื่นๆที่ไม่เข้าข่ายสองข้อข้างต้น ก็ให้ไปปรับแก้ไขและเสนอเข้ามาตามกระบวนการ
“ตนขอชื่นชมนายกฯที่แก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยความรวดเร็ว และทำให้โครงการประชารัฐที่ของบจาก สสส. มีความก้าวหน้า และหลังจากที่ผ่านการพิจารณาอีก 2-3 เดือนการขับเคลื่อนนโยบายประชารัฐจะเดินหน้า ” นพ.พลเดชกล่าว
นพ.พลเดชกล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2. เรื่องการปลดบอร์ด สสส. ทั้ง 7 ประเด็นนี้ เป็นเพราะผลตรวจสอบของ คตร. ที่พบว่าอดีตกรรมการมีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่ง คตร. ฐานะได้รับคำสั่งเมื่อสอบเสร็จแล้วก็ต้องรายงานตรงไปยังนายกฯ ส่วนปัญหามุมมองที่ คตร. สะท้อนออกมา คือการต้องการแก้ไขเรื่องประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งเรื่องนี้นายกฯได้มอบหมายให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นตัวกลางในการแก้ปัญหา และล่าสุดคณะทำงานของ รมว.สธ. ก็ได้แก้ไขระเบียบภายในองค์กร สสส. ทั้ง 26 ประเด็น และเพิ่มใหม่อีก 3 ประเด็นและเตรียมเสนอบอร์ด สสส. ชถุดปัจจุบันพิจารณาใน 15 ม.ค. นี้่
“เรื่องนี้ทำเสร็จไปก่อนวันที่ 5 ม.ค. และเตรียมเสนอบอร์ดในวันที่ 15 ม.ค. ผมมองว่าคำสั่งหัวหน้า คสช. เหมือนกับเป็นอุบัติเหตุ ซึ่งประเด็นการแก้ปัญหาเรื่องการปลดต้องให้ พล.ร.อ.ณรงค์เป็นผู้ไปพิจารณาซึ่งนายกฯได้พูดคุยตอนหนึ่งว่าบอร์ด สสส. ที่มีปัจจุบันสามารถทำงานได้จริงหรือไม่ ซึ่งเขาก็บอกว่าทำงานได้เพราะมีบอร์ด 14 คน และครบองค์ประชุม โดยนายกฯระบุว่าให้พิจารณาดูว่าจะสรรหาใึครมาทำหน้าที่ได้หรือไม่ ส่วนทั้ง7 ที่ถูกปลด เมื่อเขาเคลียร์ตัวเองให้เข้ากับระเบียบที่ปรับใหม่ และชี้แจงในเรื่องการทุจริตได้ หากเขาอยากกลับมาก็ให้พิจารณา แต่ทั้งนี้ให้ไปคิดดู ผมคิดว่าเป็นประเด็นที่ประธานบอร์ดต้องนำกลับไปพิจารณา และเป็นอีกประเด็นที่การประชุมในวันทมี่ 15 ม.ค. ต้องหยิบยกมาหารือ” นพ.พลเดชกล่าว
นพ.พลเดชกล่าวต่อว่า เรื่องการตรวจสอบ นายกฯได้บอกว่าท่านรออนุมัติการยกเลิกมาตรการตรวจสอบของ คตร. ในองค์กรของ สสส. เพราะได้มีกติกาใหม่ที่รัดกุมแล้ว และไม่ต้องให้ คตร. ไปตรวจสอบอะไรเพราะมีกลไกใหม่ไปดู
ทั้งนี้ นพ.พลเดช ระบุถึงกรณีทั้ง7 ที่ถูกปลดว่า “สำหรับกรณีที่ นพ.วิชัย โชควิวัฒน์ ออกมาให้ข้อมูลและมองว่าการปลดทั้ง 7 เพราะมีกลุ่มนายทุนอยู่เบื้องหลัง ตนมองว่าเป็นสิ่งที่ต้องเห็นใจ นพ.วิชัย เพราะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง หากดูข้อมูลของทั้ง 7 ถือเป็นผู้ที่มีเกียรติภูมิ ทำงานเรื่องการต่อต้านคอร์รับชั่นทั้งชีวิต แต่โดนคำสั่ง คสช. ประเด็นปลด มารวมกับผู้ที่ทุจริต ถือเป็นสิ่งที่เจ็บปวด และเป็นสิ่งที่ไม่มีข้อเท็๋จจริง เกี่ยวกับการทุจรืต การพูดของ นพ.วิชัยเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีขของตนเองและชี้แจงให้สังคมเข้าใจ”