สนช.ใช้เวลา 6 ชม. ผ่านฉลุยแก้รธน.ชั่วคราวปมประชามติ

"สนช."ใช้เวลา 6 ชม.ผ่านฉลุย แก้รธน.ชั่วคราว ปมประชามติครม. ชงขอปรับเพิ่ม 3 ประเด็นให้ชัดเจน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.เป็นประธาน เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่...) พ.ศ.... ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และครม.เป็นผู้เสนอมา เพื่อพิจารณาแก้ไขหลักเกณฑ์การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยพิจารณาแบบสามวาระรวด มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรณ รองนายก รัฐมนตรี และรมว.กลาโหม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนคสช.และครม.มาร่วมประชุมกับสนช. โดยนายวิษณุชี้แจงว่า เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 57 ครั้งที่2 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความจำเป็นที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งเงื่อนไขประชามติร่างเดิมยังไม่มีความชัดเจน นำไปปฏิบัติได้ยาก หรือหากปฏิบัติได้ ก็จะไม่เป็น
นายวิษณุ กล่าวว่า ประเด็นขอแก้ไขมีมาตราเดียวคือ มาตรา 39/1 แต่มี 5 ประเด็นได้แก่ 1.หลักเกณฑ์เรื่องประชามติให้ใช้คะแนนเสียงข้างมากของผู้ออกมาใช้สิทธิประชามติที่ออกเสียงให้ความเห็นชอบ 2.การกำหนดคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามผู้มาใช้สิทธิลงประชามติ ต้องไม่มีคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามตามกฎเกณฑ์การเลือกตั้งทั่วไปครั้งสุดท้ายเมื่อต้นปี 57 และกำหนดให้ผู้ที่มีอายุอย่างน้อย 18 ปี ในวันลงประชามติ เป็นผู้มีสิทธิลงประชามติ 3.การแจกจ่ายร่างรัฐธรรมนูญไม่ต้องใช้หลักเกณฑ์การแจกร่างรัฐธรรมนูญให้ได้ 80% ของครัวเรือที่มีสิทธิออกเสียงประชามติ แต่เปิดโอกาสให้เผยแพร่รัฐธรรมนูญโดยวิธีอื่นได้ตามที่กกต.กำหนด 4.การกำหนดให้สนช.ตั้งประเด็นคำถามเพิ่มเติมในการทำประชามติ นอกเหนือจากเรื่องร่างรัฐธรรมนูญได้ 5.การให้กกต.ออกกฎหมายว่าด้วย หลักเกณฑ์และการออกเสียงประชา มติ ขณะนี้กกต.ทำพ.ร.บ.การออกเสียงประชามติเสร็จแล้ว มี 60 มาตรา จะเข้าสู่ที่ประชุมครม.วันที่ 15 มี.ค.
จากนั้นที่ประชุมเปิดโอกาสให้สมาชิกแสดงความเห็นต่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 57 ในวาระรับหลักการ โดยสมาชิกสนช.ต่างแสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 57 ให้เกิดความชัด เจนเรื่องการนับคะแนนประชามติ โดยนายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล สนช. อภิปรายว่า กรณีการบิดเบือนข้อเท็จจริงให้รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เช่น การระบุว่า รัฐธรรมนูญนี้ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย จะมีมาตรการหรือบทลงโทษจัดการเรื่องนี้อย่างไร อยากเสนอให้มีการเผยแพร่เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญผ่านวิทยุ และโทรทัศน์ให้มากที่สุด เพราะเข้าถึงประชาชนได้ง่าย หากใช้วิธีแจกจ่ายเป็นเอกสาร อาจไปไม่ถึงมือชาวบ้าน
ขณะที่สมาชิกสนช.ที่เป็นอดีตกลุ่ม 40 ส.ว. ต่างอภิปรายสนับสนุนให้เขียนบทเฉพาะกาลในร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีกลไกขับเคลื่อนช่วงเปลี่ยนผ่านมาควบคุมไม่ให้เกิดวิกฤต อาทิ นายตวง อันทะไชย อภิปรายว่า สนับสนุนให้มีกลไกมาขับเคลื่อนช่วงเปลี่ยนผ่าน อาจนำประ เด็นช่วงเปลี่ยนผ่านไปตั้งเป็นคำถามการทำประชามติของ สนช. เช่นนำเรื่องแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มาตั้งเป็นคำถามก็ได้ ส่วนนายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน สมาชิกสนช. อภิปรายว่า หากกลับไปสู่ประชาธิปไตยสากลโดยเร็ว โดยที่ยังแก้ปัญหาการเมืองไม่ได้ คงไปสู่ประชาธิปไตยใสสะอาดไม่ได้ จึงควรมีบทเฉพาะกาลมาขับเคลื่อนไปสู่ประชาธิปไตยช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ แต่เพื่อให้การเมืองเข้มแข็ง มีเสถียรภาพ ส่วนประเด็นที่มาส.ว. ถ้าอยากได้ส.ว.ในลักษณะผู้ทรงคุณวุฒิ ก็ไม่ต้องไปสนใจประเด็นเล็กน้อยว่า จะอยู่กี่ปี หรือจะมีอำนาจหน้าที่มากน้อยเพียงใด ควรมุ่งเรื่องผลสัมฤทธิ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านมากกว่า ทั้งนี้หลังจากสมาชิกสนช.อภิปรายให้ความเห็นเป็นเวลา 2 ชั่วโมงกว่า ที่ประชุมสนช.จึงลงมติเห็นชอบรับหลักการวาระแรกด้วยคะแนนเสียง 194 ต่อ 0 งดออกเสียง 3
จากนั้นเวลา 14.30 น. เข้าสู่การอภิปรายวาระสอง เรียงลำดับรายมาตรา โดยนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช.คนที่หนึ่ง เสนอให้แก้ไขข้อความในมาตรา 4 วรรค 9 และ วรรค 12 เกี่ยวกับการเพิ่มเติมถ้อยคำคะแนนเสียงลงประชามติ เพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยขอเพิ่มข้อความในวรรค 9 ว่า “ถ้าผลการออกเสียงประชามติมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญมากกว่าคะแนนเสียงไม่เห็นชอบ” และเพิ่มข้อความวรรค 12 เกี่ยวกับการออกเสียงประชามติในกรณีที่สนช.เสนอประเด็นเพิ่มเติมในการลงประชามติ โดยเพิ่มข้อความว่า“ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากระหว่างคะแนนเสียงเห็นชอบ และไม่เห็นชอบเป็นเกณฑ์”
ขณะที่นายวิษณุ ชี้แจงว่า การเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญของสนช.นั้น ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี57 สนช.ไม่มีอำนาจเสนอแก้ไขได้ ต้องให้ครม.มีมติแก้ไข อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ ครม.เห็นด้วยกับการเสนอแก้ไขของสนช. เพราะจะทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งในการประชุมครม. วันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา ครม.มีมติมอบให้นายกฯและหัวหน้าคสช.เป็นผู้พิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ได้เห็นชอบกับการแก้ไขในครั้งนี้แล้ว จากนั้นนายพรเพชรสั่งพักการประชุม เพื่อขอหารือในประเด็นที่มีการขอแก้ไขเพื่อความรอบคอบอีกครั้ง
ต่อมาเวลา 15.55 น. มีการเปิดประชุมสนช.อีกครั้ง โดยนายวิษณุชี้แจงว่า ครม.มีมติเห็นชอบให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อความ เพื่อให้มีความชัดเจนขึ้น โดยถือเป็นข้อเสนอของครม. และคสช. ใน 3 ประเด็นได้แก่ 1.วรรคเจ็ด เรื่องการตั้งคำถามทำประชามติของสนช. จากเดิมที่ให้สนช.เป็นผู้เสนอคำถามเพียงฝ่ายเดียว แก้ไขเป็น ให้สนช.รับฟังความคิดเห็นจากสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศประกอบการพิจารณาตั้งคำถามประชามติด้วย ภายในเวลา 10 วัน 2. .วรรคเก้า เรื่องเกณฑ์การชี้ขาดการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ จากเดิมระบุว่า “ถ้าคะแนนเสียงข้างมากของผู้ออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วยร่างรัฐธรรมนูญ ให้นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯภายใน 30 วัน” แก้ไขเป็น “ถ้า ผลการออกเสียงประชามติมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญมากกว่า คะแนนเสียงไม่เห็นชอบ ให้นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯภายใน30วัน” 3. วรรคสิบสอง จากเดิมระบุว่า “ให้นำมาตรา 39 มาใช้บังคับแก่การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญด้วยโดยอนุโลม และในกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอประเด็นเพิ่มเติมให้นำมาตรา 37/1 มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากของผู้ออกเสียงประชามติเป็นเกณฑ์ และไม่ต้องให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ” แก้ไขเป็น "ให้นำมาตรา 39 มาใช้บังคับแก่การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญด้วยโดยอนุโลม และในกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอประเด็นเพิ่มเติมให้นำมาตรา 37/1 มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากระหว่างเสียงเห็นชอบกับไม่เห็นชอบเป็นเกณฑ์ และไม่ต้องให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ"
จากนั้น ที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบกับการแก้ไขในวาระ 2 ที่มีการเสนอขอแก้ไขทั้งสามวรรค จนกระทั่งเวลา 16.40 น. ที่ประชุมลงมติเห็นชอบการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 57 ในวาระ 3 ด้วยคะแนน 192 งดออกเสียง 3 โดยใช้เวลาพิจารณาทั้งหมด 6 ชั่วโมง







