'ผบ.ทบ.'ยันไม่อุ้มลูกน้อง หากทำผิด 'คดีลาหู่'

'ผบ.ทบ.'ยันไม่อุ้มลูกน้อง หากทำผิด 'คดีลาหู่'

"ผบ.ทบ." เมินกระแสเรียกร้องเปิดภาพวงจรปิดคดีวิสามัญชาวลาหู่ ยืนยันไม่อุ้มลูกน้องหากทำผิดจริง ลั่นกองทัพต้องยืนในจุดที่เหมาะสม

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีที่มีหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่า เจ้าหน้าที่ทหารทำเกินกว่าเหตุในประเด็นวิสามัญนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ ว่า คดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ซึ่งได้ชี้แจงกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมแล้วว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัว ทั้งนี้คดีดังกล่าวได้แยกเป็น 2 คดีโดยกองทัพบกพร้อมทำหน้าที่ หากผู้ใต้บังคับบัญชาของตนกระทำการเกินกว่าเหตุก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชี้แจงนั้น ตนคิดว่าตราบใดที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินลงมาก็ไม่ควรกล่าวหาว่าใครเป็นอย่างไร ส่วนที่มีการตั้งคณะกรรมการกองทัพภาคที่3 เป็นการสอบสวนคู่ขนานเมื่อสังคมเกิดความสงสัย  อย่างไรก็ตามขณะนี้คณะกรรมการได้รายงานผลการสอบสวนเบื้องต้นมาให้ตนรับทราบแล้ว แต่ไม่ควรพูด เพราะจะเป็นการชี้นำคดีและคิดว่าไม่จำเป็นต้องนำผลสรุปของคณะกรรมการดังกล่าวไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
                
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการระบุว่าจะมีการเปิดเผยภาพเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิด (ซีซีทีวี) แต่ตอนหลังกลับนำภาพดังกล่าวส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ไม่ได้พูดว่าให้เปิดเผยหรือไม่เปิดเผย แต่มีภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐานประกอบคดี ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและพิจารณาเปิดเผยหรือไม่ ตนไม่มีปัญหา 

เมื่อถามต่อว่าแต่ยังมีหลายกระแสเรียกร้องให้เปิดภาพจากกล้องวงจรปิด พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ตนไม่สนใจกระแส เพราะเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม ไม่ขอก้าวก่าย ทั้งนี้ได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว และเห็นว่าไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมด หากมีการเปิดให้หลายคนดูก็เกรงว่าจะเกิดปัญหาต่างคนต่างมองประเด็นที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ไม่มีความสงสัยอะไร ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมดำเนินการไป อย่าใช้กระแส และตนจะไม่ไปแทรกแซงหรือสั่งเขาว่าให้ดูหรือไม่ให้ดู

เมื่อถามถึงกรณีที่สมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยยื่นเรื่องกับผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ตรวจสอบจริยธรรมพล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ที่ระบุว่า “ถ้าเป็นผม ผมอาจกดออโต้ไปแล้วก็ได้”นั้น พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ยินดีให้ตรวจสอบ แต่ตนก็เข้าใจแม่ทัพภาคที่ 3 ที่พูดแบบนั้นหมายความว่าลูกน้องมีวินัยและฝึกมาดีจึงยิงไปแค่นัดเดียว ถ้าเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ก็อาจจะหลุดออโต้ออกไป โดยพยายามสื่อว่าลูกน้องฝึกมาดี แต่เมื่อมีการตัดประโยคนี้ออกไปก็ทำให้ดูเป็นคนก้าวร้าวและรุนแรง ซึ่งลักษณะนี้อยู่ที่การตีความ ตนคิดว่าสังคมเข้าใจแม่ทัพภาคที่ 3ว่าคิดอะไร บางครั้งอยู่หน้ากล้องสื่อมวลชนอาจรู้สึกตื่นเต้นคิดจะพูดอีกแบบ แต่อาจพูดไม่ครบก็ไปเข้าล็อคจนเกิดการตีความ แต่ทั้งนี้แม่ทัพภาคที่ 3ก็ยอมรับสิ่งที่พูดว่าเจตนาแบบหนึ่ง แต่เมื่อสังคมสงสัยแบบหนึ่งก็สามารถดำเนินการได้ ตนได้บอกว่าการมาอยู่ตรงนี้เรื่องการพูดจาต้องระมัดระวัง เพราะบางทีความจริงใจอาจใช้ไม่ได้ในทุกสถานการณ์

เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าคดีก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นก็มีลักษณะคล้ายกัน พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ทุกเรื่องก็ต้องเข้าสู่กระบวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อพิสูจน์ทราบ หากเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องรับผิดชอบ ตนจะไม่โอบอุ้มอย่างเด็ดขาด กองทัพต้องยืนในจุดที่เหมาะสม