เอนก จงเสถียร งีบได้ แต่อยากให้นั่งอ่าน
ทำธุรกิจToo Fast To Sleep ขาดทุกทุกปี แต่ก็ยังทำ เพราะอะไร...
...........................
บางเรื่องสำหรับบางคน ไม่จำเป็นต้องคิดให้ซับซ้อน ถ้าอยากเป็นผู้ให้ บวกลบคูณหารแล้ว แม้จะขาดทุน ก็ยังทำต่อู่ ดีกว่าเอาเงินไปชอปปิ้ง
นั่นแหละเขา เอนก จงเสถียร เจ้าของToo Fast To Sleep ซึ่งเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ปัจจุบันมีสี่สาขา คือ สามย่าน, ศาลายา, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน และสยามสแควร์ซอย 1 ชั้นสองธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด
เอนก บอกว่า เป็นคนที่เสพติดการชอปปิง เคยช้อปวันเดียว 5-6 หมื่นบาท นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะเป้าหมายในการทำร้าน ก็เพื่อให้เยาวชนมานั่งติว นั่งอ่านหนังสือในร้าน ไม่ต้องไปมั่วสุม ทำสิ่งที่ไม่ดีที่อื่น โดยแบ่งเงินกำไรจากธุรกิจมาทำส่วนนี้ และไม่จำเป็นต้องโฆษณา หรือทำเป็นซีเอสอาร์
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้เอนก ชอบไปนั่งเงียบๆ ในมุมใดมุมหนึ่งของร้านทั้งสี่สาขา เพราะอยากรู้ว่า วันนี้มีเด็กๆ มาดูหนังสือในร้านเยอะไหม มาเยอะไม่ไ่ด้หมายถึงกำไร แต่เขาจะรู้สึกดีที่เด็กๆ รักการอ่าน บางทีก็สั่งป็อปคอร์นให้พนักงานไปแจกตามโต๊ะ เพราะนึกถึงเวลาลูกๆ ที่บ้านดูหนังสือ ก็ต้องมีขนมกินสักนิด
เขาอยากให้มีร้านแบบนี้เยอะๆ เพราะเขาเองก็ยอมขาดทุนเดือนละ 2-3 แสนบาท เพื่อเป็นแหล่งมั่วสุมทางปัญญา
คุณเอาแนวคิด Too Fast To Sleep มาจากไหน
แนวคิดแบบนี้ ผมไม่ได้ลอกใคร ผมกล้าพูดว่าผมคิดเอง มีคนบอกว่า เกาหลีทำก่อนเรา พวกเขาทำสตาร์ทอัพก่อนไทย แต่ทำร้านแบบนี้ ตามหลังผม ซึ่งไม่ได้ใช้วิธีการแบบผม ถ้าทำแบบผมขาดทุน คอนเซ็ปต์ของเขาคือ ซื้อตั๋วจ่ายเงินคิดเป็นชั่วโมง
แต่ผมดูพฤติกรรมของคนไทย เวลาดูหนังสือ ต้องมีเพื่อน มีกิน ได้คุยกันนิดหน่อย เกรงใจกัน และติวหนังสือกัน นี่คือธรรมชาติคนไทย ซึ่งฝรั่งไม่มี
แนวคิดแบบนี้ไม่เคยมีใครทำมาก่อน?
ผมเชื่อว่าไม่มี ส่วนใหญ่ทำเป็นร้านกาแฟ แต่ผมบอกว่าเป็นสถานที่ดูหนังสือ เวลาหิวมีอาหารบริการ เราจะไม่เร่งขาย เวลาเด็กๆ นั่งดูหนังสือ ผมบอกพนักงานเลยว่า ไม่ต้องไปเช็ดโต๊ะ แล้วถามว่าน้องทานอะไรไหมคะ เราจะไม่ทำอย่างนั้น จนมีคนด่าว่าที่นี่บริการไม่ดี เพราะเวลาเด็กๆ ดูหนังสือ ผมคิดว่า พวกเขาต้องการสมาธิ
ถ้าอยากกินอาหาร ก็เดินมาซื้อ ซื้อแล้วรอ กลับไปนั่งดูหนังสือต่อ อาหารเสร็จจะมีจานรองแก้วที่มีเสียงออด ดังเตือนว่า อาหารเสร็จแล้วให้เดินมารับ ผมเป็นคนแรกที่ใช้ระบบนี้ในเมืองไทย
ตอนที่เริ่มทำร้านแบบนี้ คิดว่าจะขาดทุนไหม
ผมตั้งเป้าเลยว่า เดือนหนึ่งขาดทุนเท่าไหร่ ผมคิดว่าไม่น่าจะเยอะ ผมไม่ซีเรียสเรื่องนี้ เพราะไลฟสไตล์ผมเป็นโรคติดการชอปปิง เคยเดินห้างฯ แล้วช้อบวันเดียว 5-6 หมื่นบาท
การทำ Too Fast To Sleep ทำให้คุณชอปปิงน้อยลงไหม
ผมชอบแวะไปนั่งร้านของผม สาขาต่างๆ ทุกวัน นั่งอยู่มุมหนึ่ง ดูผลงานของเรา วันไหนไม่ค่อยมีเด็กมานั่งดูหนังสือ ผมก็เครียด บางทีผมให้พนักงานแจกป็อปคอร์นทุกโต๊ะ ผมคิดแค่ว่าเหมือนเวลาลูกเราดูหนังสือ ผมอยากให้เด็กๆ มาดูหนังสือเยอะๆ เหมือนช่วยคนที่รักการอ่าน
คนที่เข้ามาร้านนี้ แล้วไม่ซื้ออะไรเลยได้ไหม
ไม่ซื้อเลยก็ไม่ว่า เด็กบางคนไม่มีเงินนะ เครื่องดื่มในร้าน 80 บาทแพงนะ น้ำเปล่า 20 บาท เคยมีเด็กบางคนไปซื้อน้ำข้างนอกมากินในร้าน ผมก็บอกพนักงานว่า เด็กๆ ไม่กินอาหารในร้าน ไม่ว่ากัน แต่อย่านำอาหารข้างนอกเข้ามา มีบางคนซื้อน้ำดื่ม 20 บาท แล้วไปเติมน้ำข้างนอก เราก็ไม่ว่า เพราะเราเข้าใจว่าเด็กๆ ไม่ค่อยมีเงิน
ผมบอกลูกน้องว่า ผมทำธุรกิจร้านนี้ไม่ได้หวังกำไร เป้าหมายผมคือ อยากให้มีเด็กเข้ามาดูหนังสือเยอะๆ ดังนั้น โต๊ะนั่ง และห้องน้ำต้องสะอาด เพราะเวลาดูหนังสือ ห้องน้ำสกปรก อารมณ์เสีย
คนที่เข้ามาอ่านหนังสือในร้าน มีงีบหลับบ้างไหม
ในกลุ่มที่เข้ามา ถ้ามีคนงีบต้องมีคนหนึ่งที่นั่งดูหนังสือ ถ้าตั้งใจมานอนอย่างเดียวก็ไม่ได้ ส่วนใหญ่ดูหนังสือ ง่วงจะงีบแล้วตื่นมาดูหนังสือต่อได้
ทั้งสี่สาขาที่เปิด ปีหนึ่งคุณขาดทุนเท่าไหร่
ขาดทุนปีละสามล้านบาท ตอนนี้สาขาศาลายาก็ยังขาดทุนอยู่ ส่วนสาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พื้นที่ 5,000 ตารางเมตร ตอนนี้ไม่ขาดทุนแล้ว เนื่องจากพื้นที่เยอะ มีห้องเยอะให้นั่งอ่านหนังสือ แต่บังคับให้ซื้อเครื่องดื่ม หนึ่งแก้วต่อสามชั่วโมง (80 บาท) และสาขานี้คนยังรู้จักน้อย
ถ้าต้องขาดทุนปีละสามล้านบาท คุณรับไหวหรือ
ไม่ใช่ปัญหา ไม่ได้อวดรวย แต่ผมมีรายได้อื่น ผมขาดทุน แต่ผมมีความสุข มันมีประโยชน์ เพื่อนผมบอกว่าทำไมไม่เปิดร้านเหล้าได้กำไรมากกว่า ผมไม่ทำ อีกอย่างผมไม่ได้ทำเป็นซีเอสอาร์ สิ่งที่ผมทำผมรู้แก่ใจว่าผมทำอะไร มีเหมือนกันที่คนด่าผมว่าตอแหล เพราะเขาไม่รู้ว่าธุรกิจจริงๆ ทำยังไง เห็นแค่ว่าคนเข้าร้านเยอะ
การเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน คุณได้แนวคิดแบบนี้มาจากใคร
พ่อผม ทั้งๆ ที่พ่อผม ค้าขายเก่ง แต่ใจดีมาก ในวงการทั้งหมด เครดิตพ่อผมดีมาก สมัยก่อนมีคนเอาเงินมาฝากพ่อผม พ่อผมให้เขียนใส่กระดาษ แล้วใช้ยางรัด ยัดใส่เซฟ พอเขามาเอา ก็หยิบมาให้ พ่อไม่เอาเงินพวกเขาไปหมุน
อย่างเรื่องหารายได้ให้โรงพยาบาล ถ้าผมทำการกุศล ผมก็คิดเรื่องการจัดคอนเสิร์ต โดยให้ทุกโรงพยาบาลขายบัตรเอง รายได้จากการขายบัตรได้ โรงพยาบาลเอาไปเลย ไม่ต้องให้เงินผมแม้แต่บาทเดียวในการจัดคอนเสิร์ต รวมๆ แล้วโรงพยาบาลเหล่านี้น่าจะได้เงินแ่บ่งกันกว่าสามสิบล้านบาท เพราะมีคนอยากทำบุญ อยากบริจาค ได้ดูคอนเสิร์ตด้วย
ในเรื่องการศึกษาคุณอยากช่วยเหลือสังคมอย่างไร
ผมเชื่อว่า เรื่องการเรียนรู้ คนไทยไม่ต้องไปสอนมาก แต่จะทำยังไงให้พวกเขารักการอ่าน รักการศึกษา ผมเห็นมาตลอดว่า เยาวชนเหล่านี้ พอสี่ทุ่มแล้วไม่รู้จะไปไหน ก็ไปเป็นเด็กแว๊น ถ้ามีสถานที่ให้พวกเขานั่งและอยู่สบายๆ ทำไมเด็กๆ จะไม่อยากไป ผมจึงทำร้านแบบนี้ ซึ่งดีกว่าทำร้านเหล้า
ในสายตาของคุณ เด็กไทยเป็นอย่างไร
ถ้าเด็กไทยไม่เก่ง ทำไมไปประกวดอะไรก็ได้รางวัล เราต้องมองความเป็นจริงว่า ครูก็ถูกกดดันโดยระบบการศึกษา ต้องทำผลงาน ถึงจะได้ขึ้นเงินเดือน นั่นไม่ใช่หลักการที่ครูควรทำ
ผลงานคืออะไรล่ะ ถ้าเด็กสอบตกเยอะๆ ครูก็ปล่อยให้ผ่าน ทั้งๆที่เด็กสมัยนี้จบมัธยมปีที่ 3 ยังอ่านคำว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เป็นเลย เพราะระบบการศึกษา
ที่ผ่านมา ผู้บริหารด้านการศึกษาก็ไม่เคยแก้ปัญหาได้เลย ?
เพราะผู้บริหารระดับสูงไม่กระจายอำนาจ ให้ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง น่าจะปล่อยให้โรงเรียนเป็นของท้องถิ่น และกระจายงบประมาณออกไปให้พวกเขาบริหารจัดการเอง ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะสร้างอิทธิพล เพราะไม่มีใครรู้ดีกว่าคนในท้องถิ่น
มีความหวังอะไรกับประเทศไทยบ้าง
ผมเดินทางไปมาเกือบทั่วโลก ผมคิดว่าประเทศไทยคือ สวรรค์ เรามีอิสระ มีที่ไหนเป็นเผด็จการ แต่ด่ารัฐบาลได้ ถ้าเป็นที่อื่นถูกยิงทิ้งไปแล้ว แต่เรายังด่า แซวรัฐบาลได้
คุณมองแง่บวกเกินไปไหม
คนที่ชอบด่าโน้นนี่ เพราะเขาไม่เคยเห็นประเทศอื่น บางประเทศทุกข์ยากกว่าเราเยอะ ผมว่าสังคมไทยต้องแก้ไข ที่ผ่านมาเราเอาเศรษฐกิจเป็นตัวตั้งตามโลกทุนนิยม ถ้าผมมีอำนาจ ผมจะประกาศเลยว่า ห้ามคนไทยทำงานเกินวันละ 8 ชั่วโมง
เพราะอะไร
คุณทำงาน 8 ชั่วโมง นอนวันละ 8 ชั่วโมง คุณเดินทาง 2 ชั่วโมง คุณเหลือ 6 ชั่วโมงอยู่กับครอบครัว แต่ถ้าทำงานมากกว่านั้น คุณไม่มีเวลาคุยกับลูก เมื่อก่อนผมทำงานหนัก แต่ผมมีเวลาให้ครอบครัว เพราะผมเป็นผู้บริหาร หนีไปอยู่กับครอบครัวได้ จัดการเวลาได้
ถ้าพวกเขาเป็นลูกจ้าง เขาทำแบบผมไม่ได้ ต้องทำงาน 12 ชั่วโมง นอน 8 ชั่วโมง เดินทาง 2ชั่วโมง เหลือเวลาแค่สองชั่วโมง แทบไม่ได้คุยกับลูกเลย กลับถึงบ้านลูกก็นอนแล้ว ไม่มีเวลาดูแลลูก บางครอบครัวต้องส่งลูกไปให้ตายายเลี้ยง
อย่าลืมว่าประเทศไทย มีผู้หญิงท้องก่อนวัยอันควรกว่าสองแสนราย คือต่ำกว่า 18 ปีและในจำนวนนี้ต่ำกว่า 15 ปีสองหมื่นกว่าราย อายุ 15ปี ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย แล้วจะเป็นแม่ที่มีคุณภาพได้ยังไง
ทำไมนักธุรกิจแบบคุณให้ความสนใจปัญหาสังคม
อย่าเรียกผมว่านักธุรกิจเลย ผมว่าเป็นที่วิธีคิด ถ้าคนเราคิดเอาเงินต้องคิดอีกแบบ ถ้าคิดว่าเรามีพอแล้วก็คิดอีกแบบ มีคนรวยกว่าผมเยอะ แต่ผมทำแบบนี้ผมมีความสุข บางคนทำงานเยอะๆ วันละ 12 ชั่วโมง เขามีความสุขที่กิจการขยาย หรือพ่อแม่บางคนเงินเดือนหมื่นกว่าบาท แต่ให้ลูกซื้อไอโฟนเครื่องละสี่หมื่นกว่าบาท
เมืองไทยมีสิ่งดีๆคือ ทรัพยากรธรรมชาติ อาหารอุดมสมบูรณ์ ทำไมเราไม่กลับมาหาเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ต้องมาทรมานทำงานวันละ 12 ชั่วโมง แต่ไม่มีเงินใช้ เมื่อ 30 ปีที่แล้วตอนผมไปเยอรมัน ผมไปซื้อเครื่องจักรและดูพวกเขาทำงาน จะทำจริงจังไม่คุยกันเลย 8 ชั่วโมง พักก็คือพัก แต่เวลาคนไทยทำงาน.....
เมื่อก่อนคุณก็ไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือ ?
ผมชอบทำงาน ช่วยพ่อทำงานตั้งแต่เด็ก พี่น้องผมเรียนหนังสือเก่งทุกคน ยกเว้นมคนเดียว ผมจบปวส. แล้วพ่อส่งไปเรียนที่อังกฤษ ผมเรียนรู้จากพ่อผมเยอะ
อะไรทำให้คุณเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ตอนไปเรียนที่อังกฤษ เมืองนั้นมีคนไทยคนเดียวคือผม จะไม่พูดก็ไม่ได้ ครูพูดมาสามชั่วโมง ผมฟังไม่รู้เรื่องเลย ผมก็เลยต้องอ่านหนังสือตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืนทุกวัน มีเบรกดูข่าวภาษาอังกฤษตอนสามทุ่มครึ่ง เพื่อเอาตัวให้รอด
ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนหนังสือกับผมไม่ถูกกัน แต่ผมบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือทุกวัน จนติดเป็นนิสัย ถ้าไม่อ่านหนังสือนอนไม่หลับ และเคยมีครั้งหนึ่งผมสอบภาษาอังกฤษได้เต็มคนเดียวในห้อง ครูถามว่าไปลอกใครมา เขาไม่เชื่อว่าผมทำได้ ชีวิตในอังกฤษทำให้ผมได้วิธีการอ่านหนังสือ
จากไม่ชอบอ่านหนังสือ กลายเป็นนักอ่านตัวยง?
ตอนผมไปเรียนที่อังกฤษ ผมต้องพูดภาษาอังกฤษให้ได้ เพื่อความอยู่รอด ผมก็ต้องอ่านหนังสือจริงจัง ใ้ช้เวลาหกเดือน ผมก็พูดภาษาอังกฤษได้ ผมเปิดดิกชั่นนารีขาดไปสองเล่ม ในเรื่องคณิตศาสตร์ ฝรั่งสู้คนไทยแบบเราไม่ได้หรอก ผมเคยสอบได้คะแนน 96 จาก 100 คะแนน แล้วไปถามครูว่า สี่ข้อที่ทำผิด ผิดส่วนไหน
สองปีที่อังกฤษ เปลี่ยนชีวิตผมไปเลย ทำให้ผมรักการอ่านและรู้อะไรมากขึ้น และผมชอบเดินดูงานแสดงสินค้าดูของแปลกๆ ใหม่ๆ ทำให้เรารู้ว่า โลกตอนนี้ไปไกลแค่ไหน
เห็นบอกว่า คุณมาเรียนปริญญาโทตอนอายุเยอะแล้ว ?
ตอนผมทำงาน ผมมีลูกน้องปริญญาตรีและโทเยอะมาก เพื่อนผมบอกว่า ผมบริหารมั่ว ผมก็เลยไปเรียนปริญญาโทสองใบ คือกฎหมายเศรษฐกิจ คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ และเอ็มบีเอ คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ อาจารย์เคยถามผมว่า คุณเอนกมาเรียนทำไม เขาบอกว่าผมน่าจะมาสอนคนอื่นมากกว่า แต่ผมบอกว่าผมบริหารคนมาระดับหนึ่ง ก็อยากรู้ว่าโลกพัฒนาไปเร็วแค่ไหน ผมได้เรียนรู้จากอาจารย์ใหม่ๆ ทำให้ผมได้ข้อมูล ได้วิธีคิด ซึ่งการเรียนตอนแก่ ก็มีข้อดีได้นำมาใช้ปรับโครงสร้างในการบริหารงาน
ทำไมคุณชอบเรียนรู้ ?
ตอนที่ผมไปเรียนคอร์สสั้นๆ ที่จุฬาฯ ผมมักจะนัดเพื่อนมากินข้าว และคุยเรื่องธุรกิจ ผมคิดว่านักธุรกิจคนไหนใฝ่รู้ ก็จะได้เปรียบ เก่งกว่าคนอื่น
ตอนที่ผมเรียนปริญญาโท เพื่อนๆ ต้องมานั่งติวบ้านผม เพราะร้านส่วนใหญ่จะปิดสี่ทุ่ม เราไม่มีที่ไป และเป็นจังหวะดีที่ผมได้พื้นที่แถวสามย่าน ตอนนั้นก็คิดว่า ทำร้านเล็กๆ ประมาณ 500 ตารางเมตร เปิดวันที่ 10 มกราคม 2554 ผ่านไปสองวัน มีเด็กมาใช้บริการเต็ม จนล้น ผมว่าคนใฝ่รู้เยอะ แต่ไม่มีที่ไป ผมอยากให้มีแบบนี้เยอะๆ