ตลท.เผย 9 เดือนแรกบจ.ทำกำไรกว่า 7 แสนล้าน
"ตลาดหลักทรัพย์ฯ" เผย 9 เดือนแรกบริษัทจดทะเบียนทำกำไร 707,776 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.74%
นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 577 บริษัท หรือคิดเป็น 93.82% จากทั้งหมด 615 บริษัท (รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG) นำส่งผลการดำเนินงาน งวด 9 เดือนแรกปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 พบว่า บจ. มีกำไรสุทธิจำนวน 434 บริษัท คิดเป็น 75.22% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
โดยช่วง 9 เดือนแรกปี 2560 บจ. มียอดขายรวม 7,977,851 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.00% มีกำไรขั้นต้น 1,899,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.25% และมีกำไรสุทธิ 707,776 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย บจ. ส่วนใหญ่ได้รับผลบวกจากยอดขายที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ บจ. มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 23.81% ลดลงเมื่อเทียบกับ 24.89% ของช่วงเดียวกันในปีก่อน
สำหรับในไตรมาส 3/2560 บจ. มียอดขายรวม 2,011,988 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.66% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรขั้นต้น 656,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.82% คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 24.61% เมื่อเทียบกับ 23.91% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ดี บจ. มีกำไรสุทธิ 207,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.03% เนื่องจาก บจ. ขนาดใหญ่ในหมวดธุรกิจพลังงาน หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์มีค่าใช้จ่ายรายการพิเศษเกิดขึ้น รวมถึงหมวดธุรกิจธนาคารและการเงิน มีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น
เมื่อเทียบกับในไตรมาส 2/2560 บจ. มียอดขายเติบโต 1.24% และมีกำไรขั้นต้นเติบโต 12.12% แต่มีกำไรสุทธิลดลง 3.76% จากไตรมาส 2/2560 เนื่องจากค่าใช้จ่ายรายการพิเศษของ บจ. ขนาดใหญ่ในหมวดธุรกิจข้างต้น
"ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2560 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลต่อยอดขายในไตรมาส 2 และ 3 และต่อความสามารถการทำกำไร โดยเฉพาะในหมวดธุรกิจภาคการผลิตและภาคบริการ เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตและการขายปรับสูงขึ้น อย่างไรก็ดี หมวดธุรกิจที่มียอดขายและกำไรสุทธิเติบโตได้ดีทั้งในงวด 9 เดือนและไตรมาส 3 คือ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดพาณิชย์ และหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์"
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาฐานะการเงินของกิจการ ณ สิ้นไตรมาส 3/2560 พบว่า โครงสร้างเงินทุนของ บจ. ยังคงแข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.19 ลดลงจาก ณ สิ้นปี 2559 ที่ 1.25 เท่า
ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยในช่วง 9 เดือนแรกปี 2560 บจ. mai มีกำไรสุทธิ 2,920 ล้านบาท ลดลง 34.37% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในไตรมาส 3/2560 มีกำไรสุทธิ 593 ล้านบาท ลดลง 56.81% จากจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 22.08% จากไตรมาส 2/2560