ครม.ไฟเขียวแพ็คเกจลดหย่อนภาษีหนุนคนไทยมีลูกเพิ่ม

ครม.ไฟเขียวแพ็คเกจลดหย่อนภาษีหนุนคนไทยมีลูกเพิ่ม

ครม.ไฟเขียวมาตรการภาษีเพิ่มค่าลดหย่อนบุตรคนที่ 2 จูงใจคนไทยมีลูกเพิ่ม ส่วนการบริจาคทรัพย์สินให้โรงพยาบาลลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 2 เท่า

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ในวันนี้ว่า ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการมีบุตร โดยให้ปรับเพิ่มค่าลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่คนที่ 2 เป็นต้นไป ของผู้มีเงินได้หรือของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ซึ่งเกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป โดยให้หักลดหย่อนได้เพิ่มอีก 30,000 บาท รวมเป็น 60,000 บาท ต่อคนต่อปีภาษี และให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี 61 ที่จะต้องยื่นรายการในปี 62

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ผู้มีเงินได้หรือคู่สมรส สามารถนำค่าฝากครรภ์หรือค่าคลอดบุตรไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริงสำหรับการตั้งครรภ์ไม่เกิน 60,000 บาท โดยมาตรการดังกล่าวนั้น เพื่อรองรับโครงสร้างของประเทศที่ปรับเปลี่ยนเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากตัวเลขพบว่า ในปี 2579 ประเทศไทยจะก้าวสู่การเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดที่มีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุถึง 30% โดยมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้รัฐสูญรายได้ประมาณปีละ 2,500 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมครม.ยังได้เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กเพื่อเป็นสวัสดิการของลูกจ้าง สำหรับสถานประกอบการของบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กในสถานประกอบการมาหักเป็นรายจ่ายได้ตามที่จ่ายจริงและสามารถหักได้เพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กเพื่อเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานให้แก่ลูกจ้าง และถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของลูกจ้างด้วย โดยให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในรอบระยะบัญชีที่เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2561-31 ธันวาคม 2563

โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าว จะส่งผลให้รัฐสูญรายได้ไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี หรือไม่เกิน 60 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีของมาตรการดังกล่าว

นายณัฐพร กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ยังได้อนุมัติมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่สถานพยาบาลตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล สำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการบริจาคเพื่อการดำเนินงานของสถานพยาบาล โดยคาดว่ามาตรการนี้จะมีผลต่อการจัดเก็บภาษีลดลงเพียงเล็กน้อย แต่มาตรการดังกล่าวจะช่วยลดภาระการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐในด้านสาธารณสุข สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถานพยาบาลนั้น จะให้บุคคลธรรมดา หักลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาแล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่นๆ

ขณะที่บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้หักเป็นรายจ่ายได้เป็น 2 เท่าของการบริจาค ไม่ว่าจะได้จ่ายเป็นเงินหรือทรัพย์สิน แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายที่เป็นการจ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบแล้ว ต้องไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศล สาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์