เปิดหมดเปลือกโกง IFEC เงินล่องหน 6.5พันล้าน
บอร์ดตรวจสอบไอเฟค สุดทนพฤติกรรมฉาวอดีตผู้บริหาร ควงคู่แฉหมดเปลือกสารพัดข้อสงสัย ทั้ง ปกปิดข้อมูล-ตั้งสำรองหนี้น่าสงสัย-ลงทุนต่างประเทศส่อทุจริต -เงินกู้กว่า 6.5 พันล้านบาทล่องหน
เมื่อวันที่ 13 มี.ค.61 นายฉัตรณรงค์ ฉัตรภูติ กรรมการตรวจสอบ บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IFEC ร่วมแถลงข่าวเปิดโปงกระบวนการทุจริต ใน IFEC ร่วมกับ พลตรีบุญเลิศ แจ้งนพรัตน์ ประธานกรรมการตรวจสอบ IFEC ดังข้อความต่อไปนี้
นายฉัตรณรงค์ กล่าวว่า ตนในฐานะกรรมการตรวจสอบซึ่งได้รับการแต่งตั้งเข้ามาดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 พร้อมกับ พลตรี บุญเลิศ โดยตนนั้นมีประวัติการทำงานเป็นผู้บริหารมืออาชีพทั้งจากภาครัฐและเอกชน เคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมาหลายแห่งซึ่งเคยบริหารกองทุนทางการเงินที่มีวงเงินลงทุนหลักล้านๆ บาทมาแล้ว และมีเชี่ยวชาญเรื่องการบริหารจัดการเชิงธรรมาภิบาลมามาก
ในระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาตนพยายามใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่สะสมมาให้ความแนะนำแก่ฝ่ายบริหารของ IFEC และชี้ให้เห็นถึงแนวทางแก้ปัญหาของบริษัทเพื่อหวังว่าจะนำพา IFEC ไปสู่บริษัทที่มีศักยภาพรุ่งเรืองประสบความสำเร็จทั้งในเชิงการบริหารจัดการ การบริหาร เชิงรายได้และลดต้นทุน ต้องการเห็น IFEC มีการบริหาร เชิงยุทธศาสตร์ การบริหารการเงินและบัญชี การปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดรับกับรายได้ของบริษัท
แต่ก็ประจักษ์แก่ตัวเองแล้วว่า ภายใต้โครงสร้างขององค์กร และเงื่อนไขการบริหารจัดการในรูปแบบของ IFEC ที่ไม่พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างให้โปร่งใสชัดเจนดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่สมารถทำให้ความพยายามและความหวังของตัวเองเกิดผลเป็นรูปธรรมได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง แต่ตนยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้ IFEC ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัดและเป็นบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯมีผู้ถือหุ้น 30,000 กว่าคน ต้องได้รับความเสียหายไปมากกว่านี้ ตนและประธานกรรมการตรวจสอบจึงจำเป็นจะต้องมาเปิดเผยข้อมูลและปัญหาต่างๆ ให้ทราบ
นายฉัตรณรงค์ ได้ชี้แจงรายละเอียดข้อสงสัยของคณะกรรมการตรวจสอบในการบริหารจัดการของฝ่ายบริหาร IFEC ที่เห็นว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่โปร่งใส และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำทุจริ ฉ้อฉลโดยสรุปเป็นประเด็นๆดังนี้
1.การบริหารจัดการที่ผ่านมาอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจที่แท้จริงอยู่ที่คนๆเดียวทั้งหมดทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการบริหารจัดการ และแม้ว่า อดีตผู้บริหารดังกล่าวจะถูก ก.ล.ต. กล่าวโทษจนต้องออกจากตำแหน่งไปแล้ว ก็ยังฝ่าฝืนข้อห้ามของก.ล.ต. เข้ามาบงการสั่งการฝ่ายบริหารอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา
2. การสร้างอาณาจักรบุคคลล้อมรอบกายของอดีตผู้บริหารที่กุมอำนาจไว้ บุคคลต่างๆ เหล่านั้นเป็นผู้ที่ขาดความรู้ความเข้าใจในเชิงบริหารและได้ข้อมูลผิดๆรวมทั้งขาดความรู้ประสบการณ์และพื้นฐานทางการศึกษาที่เหมาะสมกับการทำงานตามตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
3.มีการปกปิดข้อมูลเชิงลึก ซึ่งควรรายงานให้ตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต. ผู้ถือหุ้นเจ้าหนี้สถาบันการเงิน และเจ้าหนี้ตราสารหนี้ ได้รับทราบและตรวจสอบตรวจทาน
4. มีการทุจริต/ฉ้อโกงเกิดขึ้นในบริษัทฯตั้งแต่ปี 2557-2559 เป็นต้นมาและมีการต่อสู้ฟ้องร้องกันไปมาอยู่ในขณะนี้ยิ่งนานวันยิ่งเสียหายมากขึ้น
5.การตรวจสอบและรับรองงบการเงินโดยผู้สอบบัญชีอนุญาต คือ บริษัทกรินทน์ออดิท จำกัด ในปี 2559 มีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญจำนวนที่สูงมากราว 1,800 ล้านบาทเศษ
6. สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการที่ผู้สอบบัญชีไม่ขอแสดงความคิดเห็นต่อการลงทุนในโครงการลงทุนในต่างประเทศได้แก่กัมพูชา เวียดนาม ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย รวมทั้งทุกโครงการมิได้มีการทำดิวแคร์ (Due Care) แต่อย่างใด ก่อให้เกิดคำถามในสังคมว่าเงินลงทุนจำนวนมหาศาลหายไปไหนหรือถูกใช้ไปอย่างเหมาะสมหรือไม่เพียงใด ซึ่งผู้สอบบัญชีได้เพียงแต่บอกว่าในทุกโครงการไม่มีเอกสาร หรือไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอต่อการตรวจสอบซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง
7.การระดมเงินทุนจากการออกตราสารหนี้ซึ่งเป็น instrumental ทางการเงินประเภทต่างๆกว่า 6,500 ล้านบาท และยังไม่รวมส่วนเงินกู้จากสถาบันการเงิน ไม่สามารถตรวจสอบเชิงลึกว่าเงินหายไปไหน ถูกใช้ไปอย่างไรบ้าง เหมาะสมหรือไม่เพียงใด แม้จะมีการสอบทานด้วยวิธี bank reconcile ก็ยากลำบากเพราะมีการปิดบังข้อมูลตลอดเวลา แม้ว่าประธานกรรมการตรวจสอบจะร้องขอไปหลายครั้งแล้วก็ตาม ภาระหนี้สินดังกล่าวทำให้ IFEC มียอดหนี้รวมดอกเบี้ยถึงปัจจุบัน ประมาณ 8,500 ล้านบาทในขณะที่มีสินทรัพย์ราว 12,000 ล้านบาท ซึ่งหากถูกตั้งค่า depreciation,impairment ,force sale คุณภาพและราคาสินทรัพย์ก็อาจจะมีมูลค่าต่ำลงไปอีก
8.การเข้าไปซื้อกิจการโรงแรมดาราเทวีราว 4,170 ล้านบาท ในลักษณะเร่งรีบทำให้ราคาซื้อสูงเกินกว่ามูลค่าความเป็นจริง ซึ่งเมื่อมีการคำนวณถึง income/cost approach ราคาที่ได้มาไม่น่าคุ้มค่าต่อการลงทุน อีกทั้งก่อนซื้อกิจการก็มิได้ทำ due diligence อย่างถูกต้องตามาตรฐานอีกทั้ง มีหนี้ที่น่าจะปลอมเกิดขึ้นในบัญชีอีกกว่าร้อยล้านบาท และมีการชำระเงินออกไปหลายล้านบาทก่อนเซ็นสัญญาซื้อขาย มีการเช่าหน้าบาน เช่าอุปกรณ์ตกแต่งนอกเหนือจากราคาซื้อ ปัญหาเรื่องโรงแรมตั้งอยู่คร่อมลำรางสาธารณะ ซึ่งจะมีปัญหาต่อใบอนุญาตกิจการและการขออนุมัติเรื่องรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือ EIAในส่วนของห้องพักที่เกินจำนวน 80 ห้อง
อีกทั้งมีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการที่มีไม่โปร่งใส มีการไล่ผู้บริหารมืออาชีพออกรายได้ตกต่ำสุดขีดในขณะที่สภาพโรงแรมทรุดโทรมและมีการนำเงินออกมาเลี้ยง IFEC และจ่ายดอกเบี้ยให้ IFEC จนทำให้โรงแรมขาดสภาพคล่องอย่างหนักรายได้ตก พนักงานได้รับผลกระทบตามมามากมาย
9..บริษัทฯมิได้วางรูปแบบบริหารตามหลัก Corporate Governance ไม่ว่าจะเป็น Vision , Mission, Strategy, Tactic , Planning, Project Grouping , BSC, KPI , Risk Management Appraisal , Accountabilities Outcome, Ultimate Outcome ซึ่งถือเป็นหลักการบริหารเชิงลึกในการทำงานนอกเหนือจาก Legal Compliance และ Internal Auditor แล้ว
10 .เรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจาก IFEC มีภาระหนี้จากการออกตราสารหนี้ทุกประเภทราว 8,500 ล้านบาทไม่รวมดอกเบี้ยและ Bank Loan ทำให้ IFEC เริ่มมีปัญหาค้างชำระหนี้และถูกเจ้าหนี้รุมฟ้องรวมทั้งไม่สามารถชดใช้ดอกเบี้ยผิดนัดได้อย่างเช่นกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โซลาริส จำกัดกว่า 1,000 ล้านบาท และศาลได้ตัดสินให้ IFEC ชดใช้หนี้แล้ว อีกทั้งปัจจุบันเจ้าหนี้รายอื่นๆ ก็ทยอยฟ้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตนพยายามที่จะช่วยเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ทุกรายจนตกผลึกว่าในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 เวลา 10.00 น.IFECกับเจ้าหนี้จะประชุมร่วมกันที่โรงแรม Mercure Fortune โดยมีสาระสำคัญของข้อตกลงคือ IFEC ขอขยายระยะเวลาตั๋วทุกประเภท 3-6 เดือนออกไปเป็น 5 ปีโดยในไตรมาสแรกของปี 2561 จะชำระเงินต้นให้ราว 25-28% ของมูลหนี้ด้วยดอกเบี้ยราว 7% สูงสุด เงินต้นส่วนที่เหลือจะขยายไป 5 ปีและเมื่อใดที่ IFEC ขายทรัพย์สินได้ก็ให้นำมาชำระหนี้เพื่อลดภาระดอกเบี้ยอีกทั้งรูปแบบการผ่อนชำระ 5 ปีอาจจะมีวิธีชำระในลักษณะ Progressive Rate,Balloon Payments และหรือกรรมวิธีอื่นๆที่จะเป็นประโยชน์และรองรับ Cash Flow ของบริษัทให้เดินไปได้ก่อนจนกว่าจะแข็งแรงซึ่งเจ้าหนี้ทุกรายมีความคิดเห็นตรงกัน
แต่ปรากฏว่าก่อนถึงวันประชุมราวช่วง 20.00 น. ของคืนวันที่ 1 พฤศจิกายน ก็มีคำสั่งมาไม่ให้มีการประชุมโดยอ้างว่าผิดกฎหมายและวันรุ่งขึ้นก็ไม่แจ้งเจ้าหนี้/ผู้ถือตั๋ว/ผู้ถือหุ้น ปล่อยให้ทุกคนมาประชุมเก้อทำให้ตนถูกต่อว่าด่าทอชื่อเสียงเสียหายหมดเคารพนับถือจากทุกฝ่ายและสังคม นอกจากนั้นทางเจ้าหนี้ก็มีความคิดเห็นที่จะเรียกประชุมเองและเชิญ IFEC ไปรับฟัง แต่ก็ถูกขู่ด้วยจดหมายที่ลงนามโดยผู้บริหารของ IFEC ว่าจะเอาโทษทางกฎหมาย หากเจ้าหนี้กระทำการดังกล่าว การบริหารจัดการที่ไม่น่าไว้วางใจดังกล่าวและขาดความโปร่งใสไม่น่าเชื่อถือซ้ำแล้วซ้ำเล่าและอาจมีการยักย้ายถ่ายเทข้อมูลรวมถึงการไม่ให้ข้อมูลขั้นต้นและเชิงลึกต่อคณะกรรมการตรวจสอบทำให้การทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบเป็นไปด้วยความยากลำบาก
อีกทั้งมีการกระทำที่เข้าข่ายล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลด้วยการติดตั้งกล้องวงจรปิดหลายจุดพร้อมเครื่องมือดักฟังการสนทาของกรรมการตรวจสอบมาโดยตลอด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความกลัวว่ากรรมการตรวจสอบจะล้วงรู้ข้อมูลหรือจะทำการตรวจสอบเข้มงวดอย่างไรบ้าง และ ได้มีการกล่าวหาว่ากรรมการบางท่านได้ทำลายทรัพย์สินของบริษัทซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ซึ่งกรรมการท่านนั้นก็ได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวนให้ลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว
11.ในเรื่องของการตรวจสอบความไม่โปร่งใสที่คณะกรรมการตรวจสอบให้ข้อคิดเห็นและตั้งประเด็นสงสัยและสอบถามหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร ทำให้การทำงานยากลำบากมาก
“วันนี้ พวกเราคณะกรรมการตรวจสอบรู้สึกสบายใจและยินดีมากที่ ก.ล.ต. และ DSI ได้เข้ามาตรวจค้นและตรวจสอบข้อมูลเอกสารที่สำนักงานของบริษัทฯ เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก็น่าจะยึดเอกสาร ข้อมูลจากอุปกรณ์ดักฟัง/กล้อง วงจรปิดและเอกสารทางบัญชีการเงินที่สามารถตรวจสอบการลงทุนในต่างประเทศ การซื้อโรงแรมดาราเทวี การลงทุนของบริษัทลูกทุกบริษัท เพื่อนำไปตรวจสอบและสามารถดำเนินคดีลงโทษต่อผู้ที่กระทำความผิดและผู้ที่เกี่ยวข้องสนับสนุนได้ในเร็ววันนี้”
นายฉัตรณรงค์ กล่าวว่า คณะกรรมการตรวจสอบเห็นควรให้คืนสิทธิกลับไปยังผู้ถือหุ้นเพื่อให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริษัทขึ้นมาใหม่ และเมื่อได้คณะกรรมการที่ประกอบไปด้วยบุคคลทีผู้ถือหุ้นเห็นชอบร่วมกันว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมแล้ว คณะกรรมการบริษัทจะได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการของกลุ่มบริษัท IFEC กันไหม้ เพื่อให้การดำเนินงานและการบริหารจัดการของ IFEC เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลที่ดีอย่างแท้จริงต่อไป