ทนาย 'ชัยภูมิ ป่าแส' จี้ขอภาพวงจรปิดคลี่คลายคดี

ทนาย 'ชัยภูมิ ป่าแส' จี้ขอภาพวงจรปิดคลี่คลายคดี

ศาลอ่านคำสั่งไต่สวนชันสูตรศพ "ชัยภูมิ ป่าแส" เปิดช่องให้ 2 ฝ่ายรวบรวมหลักฐานเข้าสำนวนฟ้องต่อในคดีวิสามัญ ด้านทนายฝากถึงผู้บังคับบัญชาทหาร-ตำรวจ สั่งการมอบภาพจากกล้องวงจรปิดหลักฐานสำคัญเพื่อคลี่คลายคดี

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 6 มิถุนายน 2561 ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ศาลได้นัดฟังคำสั่งไต่สวนเรื่องชันสูตรพลิกศพนายชัยภูมิ ป่าแส กรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารประจำด่านตรวจถาวรบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ได้ทำการขอตรวจค้นพบว่ามียาเสพติดในรถยนต์ และอ้างว่านายชัยภูมิ ขัดขืนการจับกุม มีพฤติกรรมจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงป้องกันตัวด้วยการยิง 1 นัด ทำให้เสียชีวิต บริเวณใกล้กับด่านตรวจถาวรบ้านรินหลวง เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 ซึ่งคดีได้ดำเนินมานานกว่า 1 ปี

นายไมตรี จำเริญสุขสกุล ประธานกลุ่มรักษ์ลาหู่เชียงใหม่ และพี่เลี้ยงนายชัยภูมิ ป่าแส เปิดเผยว่า คำสั่งศาลเกี่ยวกับการพิจารณาไต่สวนการตายของนายชัยภูมิ วันนี้ศาลมีคำสั่ง เพียงว่าตายที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่และใครทำให้ตาย แต่สิ่งที่ญาติไม่ได้ยินจากคำสั่งศาลในวันนี้คือตายเพราะอะไร ซึ่งเราทราบอยู่แล้วว่าเขาตายที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ ทำไมตั้งแต่วันที่นายชัยภูมิ ตาย แต่สิ่งที่ครอบครัวคาดหวัง คือนายชัยภูมิ สมควรตายแบบนั้นหรือไม่ คดีนี้มีผลในสังคมสาธารณะซึ่งเหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นได้อีก เพราะยังไม่มีการชี้ชัดออกมาว่าเป็นเรื่องที่ถูกหรือผิดในสิ่งที่เกิดขึ้น

“ในความเข้าใจส่วนตัวคิดว่าถ้าประชาชนทั่วไป กระทำความผิดจะต้องถูกดำเนินคดี แต่ถึงตอนนี้ ขณะที่คนของเราถูกฆ่าตายไป เรายังไม่เห็นกระบวนการทำโทษคนที่กระทำความผิด คนที่ทำผิดไม่ได้รับโทษ ทำไมเราไม่เห็นผู้กระทำความผิดได้รับโทษ ซึ่ง 1 ปีที่ผ่านมาคิดว่า เป็นเวลาที่นานพอที่จะจับคนผิดมาลงโทษได้ แต่สุดท้ายเราไม่เห็นการลงโทษคนทำผิด หลังจากมีคำสั่งศาลในวันนี้ ซึ่งครอบครัวยังไม่เข้าใจมากนัก ต้องขอให้ทางทนายอธิบายความหมายอีกครั้งก่อน และ ต้องขอปรึกษากับทีมทนายความก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป หรือมีช่องทางอะไรที่จะต้องดำเนินการต่อไปหลังจากนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่คิดคือเหตุการณ์แบบนี้ถ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมที่ถูกต้อง สามารถเกิดขึ้นได้อีกในพื้นที่อื่น และเป็นความเจ็บปวดของสังคมที่ประชาชนตัวเล็กไม่สามารถพูดในสิ่งที่ถูกกระทำได้” นายไมตรีกล่าว

นายสุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความกลุ่มพิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น และทีมทนายความคดีนายชัยภูมิ ป่าแส กล่าวว่า การชันสูตรพลิกศพตาม ป.วิ.อ. มาตรา 150ให้ศาลพิจารณาว่า ผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน ตายอย่างไร สามารถระบุผู้กระทำได้ว่าเป็นใคร ส่วนพฤติการณ์ที่มีการโต้แย้งกันว่า นายชัยภูมิ มียาเสพติดอยู่ในครอบครองหรือไม่ พยายามที่จะทำร้ายเจ้าหน้าที่หรือไม่ เจ้าหน้าที่กระทำไปเพื่อป้องกันตัวหรือไม่ ศาลไม่ได้วินิจฉัยให้ ศาลถือว่าเป็นเรื่องที่ยังโต้แย้งกันอยู่ ถ้าศาลชี้ออกมาจะเป็นข้อยุติ

โดยศาลให้เหตุผลว่าคำสั่งนี้กฎหมายเขียนว่าถือว่าถึงที่สุด ไม่สามารถโต้แย้งอุทธรณ์ ฎีกาได้ ดังนั้นจึงยังไม่ชี้ชัด แต่ให้โอกาสทั้งสองฝ่ายดำเนินการตามข้อโต้แย้งในกรณีที่เจ้าหน้าที่กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หรือกรณีที่นายชัยภูมิ ป่าแส ถูกกล่าวหาว่าทำร้ายเจ้าหน้าที่เป็นจริงหรือไม่ ซึ่งศาลยังไม่วินิจฉัยให้ เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อทั้งสองฝ่าย ในส่วนประเด็นที่มีข้อโต้แย้งกันอยู่นี้จะต้องไปดำเนินการต่อ

ขณะนี้คำสั่งที่ศาลไต่สวนได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีนัดในครั้งต่อไป โดยศาลได้มีคำสั่งให้รวบรวมสำนวน ส่งให้กับผู้ร้องคือพนักงานอัยการให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยต้องไปดำเนินการในคดีวิสามัญต่อ เพราะยังมีสำนวนคดีวิสามัญที่ค้างอยู่ ที่ต้องรอสำนวนไต่สวนการตายไปประกอบ เพื่อรวบรวมเป็นสำนวน เพื่อจะสั่งฟ้องเจ้าหน้าที่ที่กระทำการฆาตกรรมนายชัยภูมิ ป่าแสหรือไม่ คือขั้นตอนต่อไป

สำหรับคดีหลัก คือคดีวิสามัญฆาตกรรม ได้ดำเนินการทำสำนวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคำสั่งศาล และสำนวนการไต่สวนที่จะนำไปประกอบกัน เพื่อรวบรวมให้เป็นสำนวนเดียวกันและนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาเพื่อสั่งฟ้องหรือไม่ แต่หากอัยการเห็นว่ามีพยานต้องสอบเพิ่มเติม ก็สามารถดำเนินการสอบเพิ่มเติมได้ เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดีนี้ตามที่สื่อหลายสำนักตามมาตั้งแต่ต้นคือมีหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่ง คือหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งในทางสาธารณะเป็นที่รับรู้โดยทั่วไปแล้วว่ามีหลักฐานชิ้นนี้อยู่ เนื่องจากมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องว่ามีผู้บังคับบัญชาหลายท่านได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดนี้แล้ว แต่ว่าหลักฐานชิ้นนี้ไม่ได้ถูกนำมาสู่การไต่สวนในชั้นศาล แต่ไม่ได้หมายความว่าหลักฐานชั้นนี้ ไม่สามารถนำมาสู่กระบวนการสอบสวนได้อีก ซึ่งอัยการอาจจะต้องมีความพยายามอีกรอบหนึ่งเพื่อเรียกหลักฐานชิ้นนี้จากเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดีวิสามัญฆาตกรรม ซึ่งเป็นคดีหลัก

หลักจากที่มีคำสั่งออกมาในคดีไต่สวนการตายของนายชัยภูมิ ถือว่าเป็นคำสั่งที่ศาลเองได้เปิดช่องทางให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเกิดเหตุ ที่ทั้งสองฝ่ายยังมีการโต้แย้งกันอยู่ โดยอัยการจะต้องดำเนินการต่อ ซึ่งทางทีมทนายจะต้องทำงานต่อไปร่วมกับทีมอัยการ และพนักงานสอบสวน หากเห็นว่ามีหลักฐานเพิ่มเติมที่จะสามารถนำมาประกอบสำนวนได้ อาจจะต้องมีการร้องขอไปยังอัยการ และพนักงานสอบสวน

ที่ผ่านมาได้มีการร้องขอไปหลายครั้งแล้วโดยเฉพาะในเรื่องภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญ ซึ่งชัดเจนว่ามีภาพอย่างแน่นอน เนื่องจากในสำนวนได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารเห็นแล้ว และยืนว่าว่ามีกล้อง 1 ตัว ถ่ายไปที่บริเวณจุดค้นรถ ซึ่งทางกองพิสูจน์หลักฐานได้ ยืนยันว่ามีการทำสำเนาออกไป แต่ยังไม่มีความมั่นใจมากนักที่จะได้หลักฐานชิ้นนี้มา เนื่องจากหากจะได้ควรได้มานานแล้ว แต่ก็จะพยายามต่อไปให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องยอมที่จะนำภาพจากกล้องวงจรปิดเข้ามาอยู่ในสำนวน หรือเปิดเผยต่อสาธารณชน

ด้านนายรัษฎา มนูรัษฎา อุปนายกสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ทีมทนายความคดีนายชัยภูมิ ป่าแส กล่าวว่า ศาลได้ทำคำสั่งในข้อเท็จจริงที่ว่า นายชัยภูมิ ป่าแส เสียชีวิตจากการที่เจ้าหน้าที่ทหาร ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิง กระสุนปืนทำให้ถึงแก่ความตาย ที่ด่านตรวจถาวรบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ส่วนประเด็นที่อัยการกล่าวอ้างในคำร้องว่าเจ้าหน้าที่ทหารจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงเพื่อป้องกันตัว เพราะว่าชัยภูมิ ป่าแส จะใช้อาวุธมีดทำร้าย หรือใช้ระเบิดจะขว้าง เจ้าหน้าที่ทหารนั้น ศาลไม่ได้มีการวินิจฉัยในส่วนนี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่โต้เถียงกันอยู่ เนื่องจากทางญาติผู้ตายอ้างว่าชัยภูมิ ไม่ได้ต่อสู้ทำร้ายเจ้าหน้าที่

โดยศาลได้ให้สิทธิในการไปฟ้องร้องในคดีนี้ได้ โดยคำสั่งในวันนี้ไม่ได้ตัดสิทธิญาติผู้ตายในการฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหาย แต่ในทางอาญาคงฟ้องร้องทหารไม่ได้ เพราะกฎหมายทหารจำกัดอำนาจการเข้าถึงของประชาชน ศาลทหารต้องให้อัยการศาลทหารเท่านั้นเป็นผู้ฟ้อง ดังนั้นจากที่ทีมทนายได้พยายามให้ข้อเท็จจริงสู่ศาลให้ได้มากที่สุด การที่จะมีภาพจากกล้องวงจรปิดที่จุดเกิดเหตุที่ด่านรินหลวง ซึ่งไม่ได้เข้ามาสู่สำนวนคดี เพราะกล้องที่ทหารส่งไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และส่งพิสูจน์แล้ว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าไม่พบข้อมูลภาพในเหตุการณ์วันที่ 17 มีนาคม 2560 เวลา 10.00น. แสดงว่าภาพเหตุการณ์ในจุดสำคัญได้หายไป ดังนั้นต้องฝากไปยังผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหาร และผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานตำรวจ ต้องสั่งการณ์สอบสวนว่าภาพหลักฐานสำคัญนี้ที่ได้ทำสำเนาไว้ตามคำสั่งอยู่ที่ใคร เพราะเป็นที่สนใจของสาธารณชนและถือเป็นประเด็นสำคัญทางคดี

ในความคิดเห็นส่วนตัว การไต่สวนการตายของนายชัยภูมิ ป่าแส ให้อำนาจศาลในการค้นหาความจริง ศาลก็ทำหน้าที่เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง เพราะทางฝ่ายทหารก็อ้างว่า จำเป็นต้องยิงเพื่อป้องกันตัว ส่วนทางญาติผู้ตายก็มีพยานรู้เห็นเป็นชาวบ้าน และได้เข้ามาให้การแล้ว เห็นทหารทำร้ายนายชัยภูมิ และไม่เห็นเหตุการณ์ที่นายชัยภูมิใช้มีด ทำร้ายทหาร หรือใช้ระเบิดเตรียมขว้างใส่ทหาร เป็นพยานที่ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนและมายืนยันในชั้นศาล

ดังนั้น ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่น่าสนในอยากจะฝากว่า บทบาทของบุคคลในกระบวนการยุติธรรม ให้ทำหน้าที่กันอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นพนักงานอัยการ ฝ่ายปกครองที่รวมชันสูตรพลิกศพ ต้องโปร่งใส กรณีของชัยภูมิ ไม่ต่างจากกรณีของอาเบ แซ่หมู่ ที่เสียชีวิตจากการยิงของทหาร และมีระเบิดวางไว้ข้างศพ พนักงานฝ่ายปกครองในท้องถิ่นก็มีส่วนสำคัญที่ต้องช่วยกัน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้เสียชีวิต ไม่เช่นนั้นจะเกิดกรณีวิสามัญซ้ำแล้วซ้ำอีก ศพต่อไปอาจจะไม่ใช่ประชาชนทั่วไป แต่อาจเป็นลูกหลานของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็ได้