'ออมสิน' ไม่กังวลครูเบี้ยวหนี้ ช.พ.ค. ชี้สังคมช่วยตัดสิน
"ออมสิน" ไม่กังวลครูเบี้ยวหนี้ ช.พ.ค. ชี้สังคมช่วยตัดสิน ระบุที่ผ่านมาปรับหนี้ให้อยู่ในระดับชำระได้ ถือว่า ได้ช่วยเต็มที่แล้ว เผย 3 ปีที่ผ่านทาหนี้เงินต้นครูลดลงราว 1 แสนล้านบาทแล้ว
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสินกล่าวว่า ไม่รู้สึกกังวลต่อกรณีที่มีครูจำนวนหนึงออกมาระบุว่า จะหยุดพักการชำระหนี้กับธนาคารออมสิน เพราะครูกลุ่มดังกล่าวนั้น ไม่รักษาวินัยการชำระหนี้ ซึ่งตนคิดว่า พฤติกรรมเหล่านี้นั้น สังคมจะเป็นผู้ตัดสินการกระทำเอง โดยทางกระทรวงยุติธรรมเองก็ระบุว่า หากครูเบี้ยวชำระหนี้จะถูกฟ้องร้องตามกฎหมายและอาจถึงขั้นล้มละลาย ขณะที่ ทางกระทรวงศึกษาก็บอกว่า ครูจะพ้นสภาพเพราะเป็นบุคคลที่ถูกฟ้องและล้มละลาย
"ผมคิดว่า สังคมเป็นคนตัดสินเองที่เขาจะเบี้ยวหนี้ว่าควรสนับสนุนหรือไม่ เพราะไม่ถูกต้อง ดังนั้น ก็เชื่อว่า คนกลุ่มนี้ที่มีเพียง 1% ที่จะเกาะกระแสเบี้ยวหนี้นั้น สามารถคิดและพิจารณาเรื่องดังกล่าวได้ และ เราก็ไม่ต้องไปบริหารจัดการอะไร เพราะเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ"
เขากล่าวว่า อยากพูดให้สังคมเข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้น โดยหนี้ครูดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นมานับตั้งแต่ปี 2542 และ เพิ่มขึ้นมากในปี 2548 ในช่วงนั้น ครูมีปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบมาก รัฐบาลก็ให้ออมสินเข้าไปช่วย เพราะห่วงเรื่องสมาธิในการสอนของครูต่อเด็กนักเรียนที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการทวงหนี้
ดังนั้น ออมสินจึงได้เข้าไปช่วยเหลือ ทำให้ยอดหนี้พุ่งสูงขึ้นมาแต่ระดับกว่า 5 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมา ตนได้ออกมาตรการมาช่วยเหลือเพื่อให้ครูมีความสามารถในการชำระหนี้ได้มากขึ้น ทั้งการปรับลดดอกเบี้ยและยืดหนี้ให้ยาวขึ้นถึง 30 ปี ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่เราคิดนั้น ถือว่า อยู่ในระดับที่ต่ำมาก โดยอยู่ที่ 6-6.5% ขณะที่ หนี้ที่ไม่มีหลักประกันถูกคิดอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 28%
"ถามว่า ทำไมผ่อนมาตั้งนาน เงินต้นไม่ลดลง ก็เพราะครูเลือกแนวทางผ่อนต้นต่ำๆในระยะยาวถึง 30 ปี แต่ถึงอย่างไร ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หนี้เงินต้นของครูโดยรวมก็ลดลงถึง 1 แสนล้านบาท ปัจจุบันเหลือหนี้เงินต้นประมาณ 4.2 แสนล้านบาท เฉลี่ยหนี้ต่อรายประมาณ 1 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น คนผ่อนปกติ เงินต้นก็ลดไป"
อย่างไรก็ดี สำหรับในรายที่อาจไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ เมื่อปลายปีที่แล้ว เราก็ได้ออกมาตรการพักชำระเงินต้นให้เป็นเวลา 3 ปี และ ผ่อนปรนการชำระดอกเบี้ยได้อีกด้วย ดังนั้น ถือว่า เราได้เข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มนี้อย่างเต็มที่แล้ว