ไอเอ็มเอฟเตือนศก.โลกชะลอตัว
ขณะมูดีส์ระบุมีความเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยหากกรณีพิพาทการค้าสหรัฐ-จีนไม่จบภายใน3เดือน
นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกได้ชะลอตัวลง ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น และภาวะตึงตัวทางการเงิน แต่การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระงับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง
นางลาการ์ด ระบุว่า เศรษฐกิจโลกปรับตัวไร้เสถียรภาพ หลังจากมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจเผชิญความเสี่ยง และมีความเปราะบางต่อความตื่นตระหนกในตลาดการเงิน, การค้าโลก และปัจจัยการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (เบร็กซิท)
อย่างไรก็ดี ไอเอ็มเอฟไม่คาดว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะใกล้ และการที่เฟดมีความอดทนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะช่วยให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวในช่วงครึ่งปีหลัง
นอกจากนี้ นางลาการ์ด ยังระบุว่า ถ้าหากสหรัฐและจีนต่างก็เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแต่ละฝ่ายที่ระดับ 25% ก็จะส่งผลกระทบต่อตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐราว 0.6% ขณะที่กระทบจีดีพีของจีนราว 1.5%
ขณะเดียวกัน นายมาร์ค แซนดี หัวหน้านักวิเคราะห์ของมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มอย่างมากที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย หากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าภายในเวลา 3 เดือน
“ขณะนี้ความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจทั่วโลกอยู่ในภาวะเปราะบางอย่างมาก โดยแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สิ้นสุดวิกฤตการเงินเมื่อ 10 ปีก่อน” นายแซนดีกล่าวและว่า “หากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า สิ่งนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และทำให้บริษัทต่างๆลดการจ้างงาน ซึ่งจะทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ”
นอกจากนี้ นายแซนดี ยังเตือนว่า มีความเป็นไปได้ราว 33% ที่อังกฤษจะแยกตัวจากสหภาพยุโรป (เบร็กซิท) โดยไม่มีการทำข้อตกลง ซึ่งจะส่งผลให้อังกฤษและสหภาพยุโรปตกอยู่ในภาวะถดถอย และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก