เตรียมพร้อมและเรียนรู้ เพื่อพัฒนาสู่สังคม Digital Economy

นับตั้งแต่ปี 2558 องค์การสหประชาชาติได้วางเป้าหมายเพื่อให้โลกก้าวเข้าสู่สังคมแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals รวมถึงเรื่องของการลดความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกัน สถาบันการเงินระดับโลก อย่างธนาคารโลก ได้ก้าวเข้ามาขานรับแนวทางการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ ด้วยการเข้าไปช่วยประเทศโลกที่สามที่ยังต้องเผชิญกับภาวะความยากจน ด้วยการนำเทคโนโลยีระบบดิจิทัลมาใช้ในการทำธุรกรรมด้านการเงิน การธนาคาร เพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนหรือ transaction costs ให้กับคนกลุ่มนี้ เพื่อเป็นบันไดขั้นหนึ่งที่จะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
การสัมมนา เรื่อง “The Promises and Pitfalls of Digital Financial Services” จึงเกิดขึ้นโดยความร่วมมือของมูลนิธิมั่นพัฒนา และศูนย์นวัตกรรมสังคม คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ 17 ส.ค.2558 ที่ผ่านมา เพื่อเปิดโอกาสให้กับนักการเงินการธนาคารในบ้านเราได้เห็นถึงแนวทางการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน
โลกแห่งเทคโนโลยีอันก้าวไกลที่ขยับเข้ามาใกล้คนเรามากขึ้น สร้างประสบการณ์ใหม่ เปลี่ยนวิถีชีวิต ก่อเกิดให้วัฒนธรรม และเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกขานกันว่า Digital Economy
"มันคือความต้องการทำให้สภาพเศรษฐกิจสังคมทั่วไปดีขึ้นจากการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่เกิดขึ้นและใช้อยู่ทั่วไปทั้งโลกแล้วมาเป็นเครื่องมือเปลี่ยนวิธีการทำงานของ ทั้งประชาชน ภาคธุรกิจและภาครัฐ ทำให้สามารถขยายการทำธุรกิจและสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างความสะดวกรวดเร็วในการติดต่องานทั้งหมด" ดร. รอม หิรัญพฤกษ์ คณะกรรมการระบบชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าว
ในสังคมยุคเศรษฐกิจดิจิทัลวันนี้ เริ่มมีการถามไถ่ถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของวิถีการบริโภคที่ง่าย สะดวก และรวดเร็วขึ้น และผู้คนเริ่มคุ้นชินกับความสบายแค่ปลายนิ้วสัมผัส ระบบเศรษฐกิจใหม่จะคงอยู่ และเติบโตต่อยอดไปได้อย่างไร อยู่ที่การรู้ทันทุกก้าวที่ฉับไวของเทคโนโลยี นำมาปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของวัฒนธรรม การบริโภคและการดำเนินชีวิต เพื่อไม่ให้ประชากรโลกติดอยู่ใน "กับดัก" ของเศรษฐกิจยุคดิจิทัล
“เศรษฐกิจสังคมดิจิทัลที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศเราย่อมจะมีปัญหาบ้างในระยะแรกๆ ซึ่งทั้งประชาชนและภาคธุรกิจก็จะต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ว่าธุรกรรมดิจิทัลเหล่านี้ใชประโยชน์อย่างไร และต้องเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดว่าสิ่งต่างๆที่เข้ามาเป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม ใช้การได้จริง และดีจริงหรือไม่เพราะสังคมดิจิทัลเป็นสังคมที่ต้องการการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย และประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นก็จะมาจากการกำกับดูแลเพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาด และกลับไปในวังวนเศรษฐกิจแบบเดิม เราต้องใช้โอกาสนี้ ตรวจสอบความโปร่งใส เพื่อลดการทุจริตและคอรัปชั่นลงให้ได้ด้วย" ดร.รอม กล่าว
ศาสตราจารย์ ฌอน โคล จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้ชำนาญการด้านการพัฒนาการเงิน ในประเทศเศรษฐกิจใหม่ กล่าวว่า ความท้าทายของการพัฒนาระบบเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน อยู่ที่การวางรากฐานแนวคิดทางการเงิน และการใช้จ่ายให้กับประชากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา และประเทศเศรษฐกิจใหม่ ประชากรในประเทศเหล่านี้มีอัตราการเข้าถึงเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นโอกาสให้สถาบันการเงินเริ่มนำบริการรูปแบบใหม่ ที่อิงไปกับการวางระบบเครือข่าย เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับธุรกรรมทางการเงิน แต่ในบางพื้นที่ การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกรรมในอากาศเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยเกิดความลังเลที่จะก้าวเข้าสู่ธุรกรรมดิจิทัล และการเติบโตของจำนวนผู้ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบโทรศัพท์มือถือหรืออินเตอร์เน็ตไม่เท่าทันระบบโครงข่ายที่พัฒนาไปได้ไกลแล้ว
สัญญา หรือ กับดัก
ศาสตราจารย์โคล ชี้ให้เห็นภาพของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล ในประเทศกำลังพัฒนาว่า การเริ่มต้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องผ่านการทำความเข้าใจกับคนในประเทศที่ยังรู้จักแค่เพียงโทรศัพท์พื้นฐาน และโทรศัพท์มือถือธรรมดาๆ "ในบางประเทศ การนำเงินไปฝากที่ธนาคารยังไม่ใช่เรื่องที่ประชาชนทำกันอีกด้วย" เรียกได้ว่าเป็นการกระโดดข้ามวัฒนธรรมเดิมสู่วิถีการเงินแห่งอนาคต ดังนั้น ผู้ให้บริการทางการเงินจำเป็นต้องให้ "สัญญา" เพื่อจูงใจให้คนหันมาใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงธนาคารได้ง่ายขึ้น เพิ่มบริการให้หลากหลายและตอบความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น มีผลตอบแทนที่จูงใจให้เกิดความต้องการใช้งานมากขึ้น
นอกจากนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแล ในรูปแบบของการส่งเสริมให้ประชาชน ทำความรู้จักและกล้าที่จะขยับวิถีปฏิบัติทางการเงิน เข้ามาสู่โลกดิจิทัล รวมทั้งจะต้องการันตีความปลอดภัยของสินทรัพย์ในระดับที่ประชาชนเข้าใจและยอมรับได้
“การลงทุนวางระบบเครือข่ายเพื่อให้เกิดการทำธุรกรรมทางการเงินแบบดิจิทัลต้องใช้งบประมาณค่อนข้างมาก แต่อาจไม่ได้ประสบความสำเร็จและคืนทุนอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้ประกอบการ ต้องมีความเข้าใจกลไกทางตลาดเหล่านี้ด้วย” ศาสตราจารย์โคลกล่าว พร้อมแนะว่า “คน หรือผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจไปต่อได้พวกเขามีความพร้อม และมีความรู้แค่ไหนในการใช้งานระบบธุรกรรมการเงินที่ทันสมัยเหล่านี้ นี่คือประเด็นสำคัญที่ธนาคารดิจิทัล ไม่ประสบความสำเร็จในหลายๆ ประเทศ"
ความสำเร็จมาพร้อม ความยั่งยืน
กรณีศึกษา M-Pesa ที่เกิดขึ้นในประเทศเคนย่า คำว่า M มาจาก Money และ Pesa เป็นภาษาสวาฮิลีที่แปลว่า เงินเช่นกัน โครงการนี้คือการใช้โทรศัพท์มือถือในการทำธุรกิจการโอนเงิน และการกู้เงินแบบไมโครไฟแนนซ์ หรือการกู้เงินในจำนวนไม่มากนัก ในปี 2550 โวดาโฟน,ซาฟารีคอม และโวดาคอม ซึ่งถือเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ในแทนซาเนีย และเคนย่า เปิดตัวโครงการนี้ขึ้น โดยให้ผู้ใช้บริการสามารถโอนเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ และจะมีการส่ง PIN ทาง SMS เพื่อยืนยันการทำงาน ซึ่งผู้ใช้บริการที่เป็นธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก อย่างเช่น ร้านค้า ร้านสะดวกซื้อต่างๆ ตอบรับบริการนี้กันอย่างดี ใช้ความสะดวกสบายแลกกับเงินค่าบริการไม่มากนัก เพราะในบางพื้นที่ การสัญจรไปมา และสาขาของธนาคารต่างๆ อยู่ห่างไกล
“M-Pesa คือธนาคารที่ไม่มีสาขา การฝากและถอนเงินจะทำผ่านเอเจนท์ของธนาคารที่อยู่ในชุมชนต่างๆ ส่วนการโอนเงิน จ่ายเงินส่วนใหญ่ก็จะทำผ่านระบบมือถือ" ศาสตราจารย์โคลเล่า
ในพื้นที่ที่ห่างไกล ทำให้ความนิยมของธุรกรรมทางการเงินระบบดิจิทัล ทำงานได้ดีและเติบโตอย่างรวดเร็ว บนพื้นฐานของความไม่ซับซ้อนในการใช้งาน ซึ่งศาสตราจารย์โคลบอกว่าเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะช่วยทั้งในด้านของการปลูกฝังความเข้าใจในกระบวนการทำงานของเศรษฐกิจดิจิทัล ควบคู่ไปกับการเติบโตและพัฒนาของเศรษฐกิจในระดับประเทศ เมื่อปัจจัยทั้งสองเดินเคียงคู่กัน ก็จะเกิดการพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ปี 2010 M-Pesa คือโครงข่ายธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในโลกในประเทศกำลังพัฒนา และในปี 2012 มีรายงานว่ามีผู้ใช้งาน M-Pesa มากถึง 17 ล้านคน
ความร่วมมือ คือกุญแจ
การพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ใช่งานที่เดินไปข้างหน้าได้โดยลำพัง แต่จำเป็นต้องอาศัยการมองหาพันธมิตร ปรับความเข้าใจและมองหาจุดยืน รวมถึงความต้องการร่วมกัน เพื่อกำหนดกลยุทธ์ และกรอบการทำงานให้เดินไปในทิศทางเดียวกันจึงจะเกิดผล ในโลกของเศรษฐกิจ และการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคแห่งดิจิทัล ก็เช่นเดียวกัน เมื่อทุกคนมี "เครื่องมือ" ในการจัดการ และการทำงานที่เท่าเทียมกัน การค้นให้เจอคู่คิดทางธุรกิจที่จะเดินเคียงข้างกันไปได้ถือเป็นกุญแจสำคัญ
ศาสตราจารย์โคลได้กล่าวเสริมไว้ว่า “โลกแห่งเศรษฐกิจการเงินดิจิทัล ทุกคนมุ่งหวังที่จะลดปัญหาความยากจนด้วยการทำให้เรื่องราวทางการเงินเป็นเรื่องที่สะดวกและง่าย ธุรกรรมเหล่านี้ยังเกิดข้อดีอีกหลายประการตามมา อย่างเช่น การลดต้นทุนจากการบริหารจัดการ และการจ้างงาน ที่เปลี่ยนมาเป็นการทำธุรกรรมด้วยตัวเองของลูกค้า แต่ทั้งนี้ ระบบการทำธุรกรรมจะต้องมีความแม่นยำของข้อมูล และมีความถูกต้องในการทำงาน เพราะเรื่องการเงินเป็นเรื่องที่ต้องเที่ยงตรงเสมอ ในขณะเดียวกันในทุกกระบวนการของเศรษฐกิจยุคดิจิทัล จะต้องตรวจสอบความโปร่งใสได้”
ท้ายที่สุด ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเน้นย้ำถึงเรื่องของการดูแล ระบบการรักษาความปลอดภัยของโครงข่าย เพราะจากการศึกษาวิจัยพบว่า การใช้ระบบ Mobile Banking ในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย ยังคงมีจุดอ่อนที่สามารถเข้าโจมตีได้
ทั้งหมดนี้จึงเป็นกลไกสำคัญ ที่บรรดาผู้รู้แถวหน้า ในโลกธุรกิจการเงินมองว่า องค์กรไทย รวมทั้งคนไทยเองจะต้องเดินหน้าปรับตัวเพื่อให้รู้เท่าทันสังคมยุคดิจิทัล และเพื่อให้การพัฒนา ประเทศ ทางด้านระบบการเงิน และระบบเศรษฐกิจ อันถือเป็นพื้นฐานสำคัญส่วนหนึ่งในการ สร้างการเติบโต และการพัฒนาที่ยั่งยืนและแข็งแกร่งเกิดขึ้นได้จริงในอนาคต