ลิ้นหัวใจผ่าตัดซ่อมได้ไม่ต้องเปลี่ยน

ลิ้นหัวใจตามธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแต่หากลิ้นหัวใจเสียหาย โดยเฉพาะห้องบนซ้ายและห้องล่างซ้ายที่เรียกว่าไมตรัล มักเป็นลิ้นที่อาจเสียหายง่าย เพราะทำหน้าที่เปิดและปิดควบคุมใหลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายในภาวะแรงดันเลือดสูง
นายแพทย์ทวีศักดิ์ โชติวัฒนพงษ์ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวว่า ที่ผ่านมาวงการแพทย์ได้มีวิวัฒนาการในการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เริ่มจากการคิดค้นสร้างลิ้นเทียมที่เป็นโลหะโดยศัลยแพทย์อเมริกา กับวิศวกรนาซ่ามีอายุการใช้งานประมาณ 15-20 ปี แต่ปัญหาคือ การเปลี่ยนลิ้นหัวใจชนิดนี้ต้องรับประทานยาละลายลิ่มเลือด เพื่อป้องกันเลือดแข็งตัวไปตลอดชีวิต เนื่องจากลิ้นเทียมที่ทำจากโลหะก่อปฏิกิริยา ร่างกายจะการป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายทำให้เกิดลิ่มเลือดจึงต้องป้องกันด้วยการรับประทานยาลายลิ่มเลือด ถ้ารับประทานมากเลือดออกเยอะ แต่ถ้ารับประทานน้อยไปลิ่มเลือดจะอุดตัน และมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
ต่อมาจึงเกิดแนวคิดในการพัฒนาลิ้นหัวใจที่ทำจากเยื่อหุ้มหัวใจหมูหรือวัวเพื่อไม่ทำให้เกิดลิ่มเลือด ไม่จำเป็นต้องกินยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด เหมือนกับการใช้ลิ้นเทียมที่เป็นโลหะ แต่แม้จะเป็นเนื้อเยื่อ ภูมิต้านทานของร่างกายก็จะทำการต่อต้านเพราะถือเป็นสิ่งแปลกปลอมทำให้เกิดพังผืด มีแคลเซียมมาเกาะทำให้ลิ้นหัวใจแข็งเปิดปิดได้ไม่ดี ยิ่งถ้าเป็นเด็กจะมีปฏิกิริยาเร็วและแรงมากภายใน 1ปีลิ้นเทียมจะเสียจนใช้การไม่ได้ ดังนั้นคนไข้ที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปีไม่ควรใช้ เพราะมีอายุการใช้งาน 10-15 ปีจะเริ่มต้องผ่าใหม่ ที่สำคัญโรคบางโรคจะทำให้ลิ้นหัวใจเทียมเสียหายเร็วขึ้น เช่น โรคไต โรคเอสแอลอี โรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันทั้งหลาย
จากนั้นมีวิวัฒนาการซ่อมลิ้นหัวใจ (Valve Repair) เกิดขึ้นหลากหลายรูปแบบ แต่ที่ซ่อมกัน มากคือการซ่อมลิ้นหัวใจที่เสื่อมสภาพตามวัย เช่น เอ็นยึดลิ้นหัวใจที่ยืดหรือขาด ลิ้นหัวใจย้วย ผลการผ่าตัดซ่อมลิ้นหัวใจ ส่วนใหญ่ทำให้คนไข้อาการดีขึ้น เหนื่อยน้อยลง และผลระยะยาวจะดีเพราะไม่ต้องกังวลกับภาวะแทรกซ้อนจากยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด ซึ่งพัฒนามาจากประเทศตะวันตกทั้งในโซนยุโรปและอเมริกา ส่วนใหญ่จะเป็นกับคนอายุ 50–60 ปี
แต่ทว่าการซ่อมลิ้นหัวใจ ที่เกิดจากโรค Rheumatic heart disease เป็นโรคลิ้นหัวใจที่มักเกิดในประเทศแถบเอเซียหรือประเทศกำลังพัฒนาเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่าสเตรปโตคอคคัสกรุ๊ปเอ ทำลาย ตั้งแต่ สมอง ผิวหนัง ไต ข้อ เนื้อเยื่ออื่นๆ รวมทั้งลิ้นหัวใจด้วย เมื่อถูกทำลายก็จะมีพังผืดและแคลเซียมเกาะ ทำให้ลิ้นหัวใจเปิดปิดไม่ดีเหมือนปกติ หัวใจจึงต้องทำงานหนักมากขึ้น
"ถ้าเทียบแล้วคนไข้กลุ่มนี้เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย30-40ปีที่ผ่านมา มักเกิดในเด็กอายุ น้อย ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ คนที่อยู่ต่างจังหวัดจึงเป็นปัญหา เพราะเด็กต้องรับประทานยาละลายลิ่มเลือดตลอดชีวิต ผู้หญิงที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือดมีลูกไม่ได้ หากอยู่ไกลแพทย์ไม่ได้รับการปรับยาให้เหมาะสมกับอาการ เพราะถ้ามากไปเลือดออก น้อยไปก็เลือดอุดตัน ถ้าเราเปลี่ยนลิ้นหัวใจจะดีในช่วงสั้นแต่ได้รับผลกระทบในระยะยาว เพราะอายุจะสั้นลงเกินครึ่ง10ปีเหลือ 50% ตายบ้าง ติดเชื้อบ้าง เส้นเลือดอุดตันบ้าง เป็นกลุ่มที่มีปัญหา"
นายแพทย์ทวีศักดิ์ กล่าวว่าจากปัญหาดังกล่าวทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการพัฒนาเทคนิคการผ่าซ่อมลิ้นหัวใจเสื่อมก่อนเริ่มศึกษาการซ่อมลิ้นหัวใจที่เกิดจากโรครูมาติกอย่างจริงจัง พบว่า ลิ้นหัวใจที่กั้นระหว่างห้องซ้ายบนกับห้องซ้ายล่างเรียกว่าไมตรัล (Mitral) มีสองลิ้น มันทำงานโบกสะบัดปิด เปิดเหมือนการเต้นระบำใช้เวลาศึกษาหลายปีจนสามารถพัฒนาการซ่อมลิ้นหัวใจได้ดีขึ้นและสามารถซ่อมลิ้นหัวใจได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะตีบ รั่ว หินปูนเกาะ รวมทั้งรักษาคนที่เคยซ่อมแล้วกลับมาตีบใหม่ จากที่สมัยก่อนซ่อมไม่ได้ สามารถซ่อมได้ เรียกว่า Rheumatic Valve Pepair
" สมัยก่อนลิ้นหัวใจหนาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ซึ่งเกิดจากการอักเสบของรูมาติก การอักเสบของรูมาติกเหมือนไฟไหม้ บางที่บิดเบี้ยว บางที่ก็ดำ บางที่ก็แข็ง บางทีก็เสื่อม เราต้องค่อยๆผสมผสานตัดแต่งให้สามารถกลับมาใช้งานได้อีกเป็นทั้งงานศาสตร์และศิลป์ในการซ่อมลิ้นหัวใจถ้าหดรั้งเอาเยื่อหุ้มหัวใจมาปะ สามารถฝานหินปูนร่อนเป็นตระแกรงออกมาได้ทำให้ลิ้นหัวใจกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง จากสมัยก่อนลิ้นหัวใจจากรูมาติก มีโอกาสที่สามารถซ่อมได้สำเร็จ 20% ปัจจุบันเราสามารถแก้ได้น90%ทุกๆพยาธิสภาพถือว่าเป็นศาสตร์ใหม่ "
การผ่าซ่อมลิ้นหัวใจแบบรูมาติกค่อนข้างซับซ้อน ปัจจุบันมีความพยายามที่พัฒนาการผ่าตัดแผลเล็กแต่ทำได้เฉพาะกรณีที่มีความเสียหาย 2-3 จุดแต่ยังไม่มีใครทำในรูมาติกได้เพราะยาก เนื่องจากสภาพของลิ้นหัวใจส่วนใหญ่เสียหายหลายจุด และการผ่าตัดด้วยแพทย์จะดีกว่าเพราะข้อมือมนุษย์มีข้อต่อเยอะสามารถเย็บมุมเล็กและ
มุมลึกได้ โดยต้องผ่าตัด ส่วนการจะใช้หุ่นยนต์เข้าไปผ่าตัดนั้น อนาคตอาจได้แต่ไม่ใช่วันนี้ การใช้หุ่นยนต์ผ่าตัดต้องเลือกเคส หนึ่งความสลับซับซ้อนของพยาธิสภาพต้องไม่มากไป สอง แพทยต้องมีความชำนาญ และมีประสบการณ์
" แม้ว่าการซ่อมลิ้นหัวใจจะดูดีกว่าการเปลี่ยนลิ้นหัวใจแต่ไม่ได้หมายความว่าเปลี่ยนลิ้นหัวใจไม่ดี เพราะมาถึงจุดหนึ่งแล้วลิ้นหัวใจซ่อมไม่ได้ หรือซ่อมแล้วเสี่ยง เช่น คนไข้อายุมากมีโรคหลายโรค ตับไตไส้พุงเสี่อม เปลี่ยนลิ้่นหัวใจดีกว่า ถึงการเปลี่ยนลิ้นหัวใจโดยภาพรวมเหมือนจะสู้การซ่อมลิ้นหัวใจไม่ได้แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ดี เพราะในบางภาวะการเปลี่ยนลิ้นถือเป็นทางเลือกที่ดี ในการรักษาชีวิตคนไข้ " นายแพทย์ทวีศักดิ์ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก กล่าวทิ้งท้าย