โอร่า Good Cat GT สปอร์ต ถูกใจนักขับ ถ้าเก็บเสียงเพิ่มอีกหน่อย ก็ดี
เกรท วอลล์ เตรียมเปิดตัว ORA Good Cat GT รถที่เติมอารมณ์สปอร์ต ทั้งด้านมุมมอง สมรรถนะ โดยเตรียมรับจอง และเปิดราคาวันที่ 29 มิถุนายนนี้ แต่ก่อนที่จะรู้ค่าตัว เราไปดูกันสิว่า ตัวจริงเป็นอย่างไร ขับแล้วโดนใจมากน้อยแค่ไหน
โอร่า กู๊ดแคท (Ora Good Cat) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) จากจีน สร้างปรากฏการณ์เมื่อครั้งเปิดรับจองสิทธิ์เป็นครั้งแรกในเดือน ตุลาคม 2564 ด้วยตัวเลขสูงกว่า 4,000 คัน ในเวลา 24 ชม.
ถึงปัจจุบัน เกรท วอลล์ (Great Wall) ส่งมอบโอร่า กู๊ดแคท (Ora Good Cat)ทั้ง 3 รุ่น คือ 400 Pro, 400 Tech และ 500 Ultra ไปแล้วรวม 1,748 คัน และยังเหลือยอดค้างส่งมอบอีกกว่า 3,000 คัน
ซึ่งจะส่งได้เมื่อไรนั้น เกรท วอลล์ ระบุว่า กำลังเร่งประสานกับโรงงาน ที่กำลังประสบปัญหาการผลิต เนื่องจากภาวะขาดแคลนชิ้นส่วนทั่วโลก แต่ก็เชื่อว่าจะเคลียร์ได้หมดภายในปีนี้
แต่ว่าถ้าทุกอย่างชัดเจน ก็พร้อมจะกลับมาเปิดรับจองอีกครั้ง หลังจากประกาศหยุดรับจองชั่วคราวในเดือน เมษายนที่ผ่านมา เพราะเกรงว่าถ้ารับจองต่อแล้วไม่มีคำตอบให้ลูกค้าว่าจะได้รถเมื่องไร จะเป็นผลเสียมากกว่า
แต่ถ้าสามารถบอกลูกค้าที่รอรถอีกกว่า 3,000 คนได้ว่าจะได้รับรถเมื่อไร ก็สามารถเปิดจองล็อตใหม่ได้
แต่ก็คิดว่าล็อตใหม่คงจะต้องรับรถปีหน้า หรือไม่แน่ถ้าโรงงานเคลียร์ได้เร็ว หลังจีนเริ่มคลายล็อคดาวน์ ทำให้การผลิตคล่องตัวขึ้น
ซึ่งหากเปิดรับจองช่วงนี้ ก็ไม่แน่ยอดอาจจะพุ่งไม่น้อย เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกรท วอลล์ เพิ่งประกาศลดราคา กู๊ดแคท ระลอก 2 หลังจาก มีความชัดเจนเรื่องภาษีสรรพสามิต อีวี ที่ลดจาก 8% เหลือ 2% อย่างเป็นทางการแล้ว
ทำให้กู๊ดแคท ราคาถูกลงอีกหลายหมื่นบาท เมื่อรวมกับการลดราคาระลอกแรก 106,500 บาท เบ็ดเสร็จทุกรุ่น ก็มีส่วนลดมากกว่า 2 แสนบาท
แม้กู๊ดแคท ยังส่งมอบไม่หมด แต่ว่า เกรท วอลล์ ก็เตรียมเปิดตัว รุ่นย่อยใหม่คือ กู๊ดแคท จีที (Good Cat GT) ซึ่งหลายอาจคุ้นหน้าคุ้นตา เพราะเกรท วอลล์ นำมาโชว์ตัวในงาน บางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์ ช่วงเดือน มีนาคม-เมษายน ที่ผ่านมา
การเปิดจอง พร้อมราคา จะเกิดขึ้นวันที่ 29 มิถุนายนนี้ และคงจะต้องรีบๆ กันหน่อย เพราะล็อตแรกนั้นมีรถมาแค่ 150 คัน เท่านั้น
จีที นั้นขยับขยายต่อยอดมาจาก 500 อัลตร้า แต่ปรับปรุง และเพิ่มเติมหลายส่วน ทั้งมุมมองภายนอก ภายใน และเชิงเทคนิค เพื่อให้รถมีบุคลิกและอารมณ์สปอร์ตมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ลูกค้ากลุ่มผู้ชายที่ก่อนหน้านี้บางคนอาจจมองว่า กู๊ดแคท ดูจะหวานๆ ไปหน่อย ได้มีทางเลือกกับจีที
สิ่งที่แตกต่างไปจาก 500 Ultra เริ่มจากสีภายนอก ลูกค้าไม่ต้องปวดหัวเลือกสี เพราะมีแค่สีเดียว หวังให้เป็นเอกลักษณ์ของ GT นั่นคือสี Aqua Grey ซึ่งก็ดูสวยดี ดูคลาสสิคๆ และสีภายในมีคู่สีเดียวคือ แดง-ดำ เข็มขัดนิรภัยสีแดง ตามความนิยมของรถอารมณ์สปอร์ต และเบาะนั่งมีโลโก้ GT ขณะที่ 500 Ultra มีตัวถังให้เลือก 7 สี และภายใน 3 สี
ล้อขนาดเท่ากัน 18 นิ้ว โดย 500 Ultra เป็นแบบ retro มาพร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีเงิน ส่วน GT เป็นล้อทูโทน และคาลิปเปอร์เบรกสีแดง
ติดตั้งสปอยเลอร์ทรงสปอร์ตพร้อมสัญลักษณ์ GT ซึ่งผมว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุด ดูดีเลยเชียว
ตกแต่งด้วยลายคาร์บอนไฟเบอร์ ทั้งกันชนหน้า ต่อเนื่องมายังคิ้วซุ้มล้อ สเกิร์ตข้าง ยาวไปถึงด้านท้าย พร้อมชิ้นส่วนสีแดงอีกหลายจุด เพื่อเติมอารมณ์สปอร์ตให้เข้มข้นมากขึ้น
เพิ่มระบบปิด-เปิด ฝาท้ายควบคุมด้วยไฟฟ้า แบบแฮนด์ฟรี ซึ่งการตอบสนองรวดเร็วทันใจไม่ว่าจะช่วงเปิดหรือปิด แค่แหย่เท้าเข้าไปใต้กันชน
การตกแต่งอุปกรณ์ภายนอก ทำให้ความยาวเพิ่มขึ้น 19 มม. ความกว้างเพิ่มขึ้น 23 มม. ส่วนความสูง เท่าเดิม ก็ช่วยให้รถดูสปอร์ตขึ้น
ภายในห้องโดยสาร นอกจากสี และเบาะที่ปรับเปลี่ยนใหม่ ก็ยังเพิ่มความสะดวกสบาย สำหรับเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าจากปรับมือ เป็นปรับด้วยไฟฟ้า 4 ทิศทาง ส่วนฝั่งผู้ขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางเหมือนกัน
ระบบ Welcome Seat ที่เลื่อนเบาะถอยไปด้านหลังทำให้จังหวะขึ้น-ลง สะดวกขึ้น มีเหมือนกัน รวมถึงเบาะนวด
และเบาะ GT เป็นแบบระบายอากาศ
แผ่นบังแดด มาพร้อมจก และไฟแอลอีดี ซึ่ง 500 Ultra ไม่มีไฟ
นั่นคือความแตกต่างในส่วนของตัวถัง อุปกรณ์ตกแต่ง ออปชั่น ระหว่าง 500 Ultra กับ GT เพื่อขับอารมณ์สปอร์ตให้มากขึ้น ซึ่งก็ดูดี แต่ว่าในมุมมองผม บางอย่างเช่น สีภายใน แดง-ดำ นั้นไม่แน่ใจว่าด้วยความแนวคิดหลักของการออกแบบรถนั้นเป็นแนวเรโทรย้อนยุค การเลือกใช้สีแดงในห้องโดยสารจึงเป็นสีแดงแบบเบรกด้วยสีดำเล็กน้อย ซึ่งในความคิดผมถ้าเป็นแดงที่สดกว่านี้น่าจะให้อารมณ์สปอร์ตมากกว่า
ส่วนออปชั่นหลักๆ ที่มีเหมือนกัน ก็อย่างที่รู้กันว่าเกรท วอลล์ ใส่ให้มาเยอะทีเดียว ทั้งเบาะหลังพับได้ จออินเตอร์แอคทีฟ ดับเบิล สกรีน ลำโพง 6 ดอก ระบบสั่งการด้วยเสียง การเชื่อมต่อโครงข่ายระยะไกล
หลังคาพาโนรามิค ซันรูฟ ฟังก์ชั่นอินเทอร์เน็ต ระบบชาร์จไร้สาย ระบบกรองพีเอ็ม 2.5 กล้องรอบทิศทาง ระบบเบรกฉุกเฉินทั้งทางตรง ทางแยก ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติในระยะ 50 เมตร หากขับเข้าไปด้วยความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม. ระบบช่วยจอดทั้งขนาน เข้าซอง และแทยง ระบบเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ ระบบควบคุมรถให้อยุ่ในเลน ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน
ยังมีอีกมาก แต่เอาคร่าวๆ เท่านี้ละกัน
ด้านเทคนิค แบตเตอรี เท่ากัน เป้นแบบ ลิเธียม เทอร์นารี (NMC) ความจุ 63.139 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระยะเวลาการชาร์จแบ่งเป็น
- ชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC) (0 - 80%) 45 นาที
- ชาร์จแบบเร็ว (30 - 80%) 40 นาที
- ชาร์จธรรมดา ไฟกระแสสลับ (AC) 10 ชั่วโมง
มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังสูงสุด 171 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ซึ่งแรงกว่า 500 Ultra ที่ให้กำลัง 143 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร
แน่นอนอัตราเร่งกระฉับกระเฉงขึ้น 0-100 กม./ชม. จาก 9.2 วินาที เหลือ 8.5 วินาที
ตัวเลขอาจจะดูไม่ต่างกันมากนัก สำหรับ 0-100 แต่ว่าการลองขับจริง เห็นความต่างครับ ความกระฉับกระเฉงเพิ่มขึ้น จังหวะเร่งแซง หรือไล่ความเร็วดูกระชับขึ้นกว่าเดิม และใช้เวลาไม่นานก็ไปถึงท็อปสปีด
จังหวะการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้น ช่วยให้ขับได้สนุกขึ้น จังหวะแซง จังหวะเปลี่ยนช่องทางทำได้รวดเร็ว
โดยโหมดขับขี่มีให้เลือก 5 โหมด คือ มาตรฐาน, สปอร์ต, อีโค, อีโค+ และอัตโนมัติ ซึ่งการเดินทางทั่วไปใช้โหมดมาตรฐานก็เพียงพอ แต่ถ้าอยากได้การตอบสนองที่รวดเร็วขึ้น ก็ไปเลือกสปอร์ต
แต่ถ้าใครไม่ชอบว่าทุกจังหวะที่แตะคันเร่งการตอบสนองจะเป็นแบบสปอร์ต มีแรงกระชากพอควรแล้วละก็ ผมว่าเลือกใช้โหมด ออโต้ ครับ ลงตัว เพราะถ้าขับธรรมดาทั่วไปก็ง่ายๆ สบายๆ แต่ถ้าต้องการกำลังเป็นพิเศษ เช่น เร่งแซง เมื่อกดคันเร่งแรงๆ ระบบก็จะปรับการตอบสนองให้เป็นแบบสปอร์ตทันที
พวงมาลัยปรับการตอบสนองได้ แต่ไม่ได้ปรับอัตโนมัติตามโหมดการขับ แต่ให้ขับเลือกเองว่าต้องการแบบไหน จะสบายๆ หรือ สปอร์ต แต่สำหรับผมเมื่อขับทางไกล หรือการขับที่ใช้ความเร็ว เลือกสปอร์ตครับ หรือจริงๆ ผมเลือกสปอร์ตตลอดเวลานั่นแแหละครับ
ความแม่นยำ และน้ำหนักพวงมาลัย อยู่ในเกณฑ์ที่ดี อาจจะมีขาดๆ เกินๆ อยู่บ้าง แต่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีผลอะไร แต่แค่รู้สึกได้เท่านั้น ส่วนความนิ่งของพวงมาลัยนั้นดีเลยครับ ขับถึงท็อปสปีดก็ยังนิ่งๆ การควบคุมก็จับแค่เบาๆ สบายๆ เท่านั้น
ช่วงล่างรับกับสมรรถนะของมอเตอร์ไฟฟ้าได้ดี รถนิ่งน่าพอใจ แม้จะจะใช้ความเร็วพอควร อยู่บนทางด่วนบูรพาวิถี ซึ่งโดยปกติหลายช่วงจะมีลมปะทะให้รู้สึกได้ โดยเฉพาะรถที่ช่วงล่างไม่ดีนัก หรือรถพวงมาลัยไม่แม่นยำ มีระยะฟรี แต่ กู๊ดแคท จีที ทำได้ดี รวมถึงจังหวะการเปลี่ยนช่องทางไปมาอย่างรวดเร็ว ก็ยังจัดการได้ดี แม่นยำ
แม้ว่าทริปนี้ จะไม่ได้ลองขับเส้นทางภูเขา แต่เส้นทางรอบๆ อ่างเก็บน้ำบางพระ ชลบุรี ก็ม่ีทางโค้งให้ลองพอหายอยาก ซึ่งก็รับรู้อาการของรถได้ว่า ตอบสนองการขับขี่แบบสปอร์ตได้ดีพอ
การใช้งานอื่นๆ การตอบสนองของหน้าจอสัมผัส ทำได้ดีขึ้นจากเดิม ทั้งความแม่นยำ และความรวดเร็วของการสัมผัส
จะมีสิ่งที่อยากได้เพิ่มอยู่บ้าง หลักๆ 2 อย่างครับ คือ พวงมาลัย ถ้าหากว่าปรับเข้า-ออก ได้ก็จะดี เพราะว่าบางทีสรีระของผู้ขับก็ต่างกัน กับเรื่องของการเก็บเสียงภายในห้องโดยสาร ที่มีเสียงจากภายนอกเล็ดลอดเข้ามาบ้างในความเร็วระดับการเดินทางทั่วไป ไม่ถึงกับดังมากมายนัก แต่ถ้าเงียบกว่านี้อีกหน่อยก็ดีครับ
โดยรวม ถ้าพูดถึงเป้าหมายของ จีที ที่ต้องการเพิ่มอารมณ์สปอร์ต ผมว่าก็ตอบโจทย์ได้ดีครับ
เพราะทั้งมุมมอง และการขับขี่ ให้อารมณ์สปอร์ต เร้าใจ เพิ่มขึ้นชัดเจน