Honda Civic e:HEV แรง เร่งเร้าใจ นุ่มๆ นั่งสบาย
หลังจาก ฮอนด้า ซีวิค เจเนอเรชั่น 11 ที่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง รวมถึงแนวทางการออกแบบทำตลาดมาได้ประมาณ 1 ปี ก็ถึงเวลาเสริมตลาด ด้วยเวอร์ชั่น ซีวิค ไฮบริด หรือชื่อทางการคือ e:HEV ซึ่งวันนี้เราจะมาลองขับ Civic e:HEV กันครับ
ซีวิค ไฮบริด หรือ e:HEV ถูกวางให้เป็นต้วท็อปของ ซิวิค และฮอนด้ายังตัดรุ่น RS ซึ่งเป็นตัวท็อปเดิมของเวอร์ชั่น เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร เทอร์โบออกไป ดังนั้นใครที่ชอบอารมณ์สปอร์ตๆ ของ RS ก็ต้องหันมาหา e:HEV แทน แต่จะแทนได้หรือไม่ ต้องลอง
Civic e:HEV ม่ี 2 รุ่นย่อยให้เลือก คือ
- e:HEV RS ราคา 1,259,000 บาท
- e:HEV EL+ ราคา 1,129,000 บาท
ทั้ง 2 รุ่น แตกต่างกันที่ออปชั่นบางอย่าง และในด้านเทคนิค ที่ต่างกันคือขนาดล้อ ยาง และความสามารถรองรับความเร็วของยาง โดย RS ใช้ยางขนาด 235/40 ZR18 ส่วน EL+ ขนาด 215/50 R17
แต่ทั้ง 2 รุ่น ก็ใช้ล้อที่ใหญ่กว่า เวอร์ชั่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ที่ใช้ยางขนาด 215/55 R16
นอกจากนี้ e:HEV RS มีสปอยเลอร์หลัง ส่วน EL+ ไม่มี
ส่วนช่วงล่าง เบรก เหมือนกัน โดยช่วงล่างเป็นแบบ แมคเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลัง มัลติลิงค์ อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง เบรกหน้า ดิสค์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน ด้านหลัง ดิสค์เบรก
ทั้งนี้ช่วงล่าง ถ้าเทียบกับรุ่น 1.5 ลิตร เทอร์โบนั้นเหมือนกัน แต่มีการปรับเซ็ทใหม่ พวกค่าช็อค แอบซอร์บเบอร์ สปริง เพื่อให้รองรับกับน้ำหนักที่เปลี่่ยนไป โดย e:HEV มีน้ำหนักมากกว่าประมาณ 100 กก. จากแบตเตอรี มอเตอร์ไฟฟ้า และอุปกรณ์เกี่ยวข้องอื่นๆ
ระบบไฮบริด ของ ซีวิค เป็นแบบ ฟูลไฮบริด ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ตัวใหญ่มีหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถ อีกตัว ที่มีขนาดเล็กกว่าทำหน้าที่เป็นตัวสร้างพลังงานไฟฟ้า ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ เบนซิน รุ่นใหม่ คนละตัวกับที่ใช้ใน ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี แม้จะขนาด 2.0 ลิตรเหมือนกัน
เป็นเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 182 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบ/นาที
ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000 - 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร ที่ 0 - 2,000 รอบต่อนาที
แบตเตอรี ลิเธียม ไอออน ขนาด 1 กิโลวัตต์ชั่วโมง
สำหรับรุ่นที่ผมลองขับก็เป็นตัวท็อป RS ในเส้นทางระหว่างเชียงราย-เชียงแสน สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งมีความหลากหลายพอควร ทั้งทางกว้างๆ โล่งๆ รถน้อย ทางโค้งทางเขา และเส้นทางในชุมชน
จุดเด่นของ e:HEV ก็คือ การตอบสนองต่อคันเร่งที่กระฉับกระเฉง ออกตัวทันใจ จังหวะเปลี่ยนความเร็ว เร่งแซง หรือเติมความเร็วทำได้อย่างรวดเร็ว ถูกใจสายสปอร์ต และช่วยให้รถมีความคล่องตัวสูง เลาะไปตามช่องว่างแคบๆ ได้ดี
ซึ่งการได้มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยตอบสนองจังหวะเปลี่ยนความเร็ว ทำให้การขับขี่ในเส้นทางที่มีโค้งมีเนินเร็วขึ้น จังหวะกดคันเร่งออกจากโค้งเรียกกำลังมาได้เร็ว เช่น เดียวกันจังหวะปีนไต่เนิน ทำให้ตรงนี้เป็นจุดที่เด่นกว่ารุ่น 1.5 เทอร์โบ อย่างเห็นได้ชัด
และใช้โหมดขับขี่แบบ นอร์มอล ก็พอครับ ไม่ต้องพึ่ง โหมดสปอร์ต ก็สนุกได้
รวมถึงจังหวะที่ต้องเติมความเร็วใหม่อีกครั้ง หลังจากผ่อนคันเร่ง หรือ เบรก ตามสภาพจราจรบนท้องถนน ก็ทำได้กระฉับกระเฉงว่า นั่นเป็นการเติมอารมณ์สปอร์ตให้กับ e:HEV
ขณะที่ช่วงล่าง เซ็ทมาค่อนข้างนุ่ม น่าจะเอาใจลูกค้าส่วนใหญ่ที่ทำให้นั่งได้สบาย เก็บแรงสั่นสะเทือนของผิวถนนที่ไม่เรียบ ขรุขระได้ดี แต่อาจจะดูเหมือนว่าขัดกับสมรรถนะที่เร้าใจขึ้นของระบบไฮบริด แต่ก็ต้องไม่ลืมนะครับว่า เป้าหมายอย่างหนึ่งของไฮบริด คือ ความประหยัด ลดการปล่อยไอเสีย แต่มันดันได้เรื่องของสมรรถนะแถมมาด้วย
แต่ว่าจริงๆ แล้ว ระยะหลังๆ ทฤษฎีที่เราใช้กันมายาวนาน คือ รถที่่่ช่วงล่างนุ่มๆ ให้อารมณ์สปอร์ตลดลงไป หรือ เข้าออกโค้งไม่ดีเท่ารถที่ช่วงล่างแข็งๆ อาจจะต้องลดความสำคัญของทฤษฎีไป
เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ซีวิค อี:เอชอีวี ตัวนี้ ก็ขับได้สนุกนะครับ เข้า-ออกโค้ง ได้ดีและแม่นยำ ด้วยความเร็วพอควร
โดยเฉพาะล้อหน้าที่จิกโค้งได้ตามที่ต้องการอย่างแม่นยำ เพียงแต่รถจะให้ความรู้สึกโยนตัวยของตัวของตัวถังอยู่บ้างตามความนุ่มของช่วงล่าง และที่ความเร็วค่อนข้างสูง อาจจะรู้สึกว่าล้อหลังกวาดออกเล็กน้อย แต่ก็ย้ำว่าเล็กน้อยครับ ไม่เกินพิสัยที่จะควบคุมรถให้อยู่ในเส้นทาง
ดังนั้นผมว่าเป็นเป็นรถที่ให้อารมณ์สปอร์ตได้ดี เพียงแต่ว่าถ้าขับเส้นทางโค้ง ทางเขา คนขับสนุก แต่ผู้โดยสาร โดยเฉพาะเบาะนั่งแถวหลังอาจจะมึนๆ บ้าง จากการให้ตัวของตัวถัง
แต่ถ้าขับแบบที่คนทั่วไปเขาขับกัน ก็เชื่อว่าสบายๆ ไม่มีปัญหาอะไร
และการขับขี่ทั่วไป แม้จะใช้ความเร็วสูง รถก็นิ่ง ควบคุมได้ง่าย พวงมาลัยน้ำหนักดี
อีกจุดเด่นคือ การเก็บเสียงในห้องโดยสารที่เงียบ มีเสียงเครื่องยนต์ เสียงยาง หรือว่าเสียงลม เข้ามาน้อย รวมถึงเสียงสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เมื่อจอดติดไฟแดง ก็เข้ามาน้อยเช่นกัน
ส่วนการใช้สอยภายในห้องโดยสาร นั่งสบายครับ เบาะออกแบบมาดีมาก นั่งสบาย และนั่งนานๆ ไม่เมื่อยล้า ตำแหน่งควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ทำได้ง่าย เบาะหลังก็มีพื้นที่กว้างขวาง และนั่งได้สบายเช่นกัน และสำหรับ e:HEV ฮอนด้า พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารแถวหลังมาให้ และสำหรับ e:HEV RS เบาะหลังสามารถพับได้แบบ 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระมากขึ้น
ส่วนออปชั่นเด่นๆ ที่มีอยู่ใน Civic e:HEV RS เช่น ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะพร้อม Honda Smart Key Card ระบบ Honda SENSING ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ชตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนน โดยมีการทำงานหลักๆ คือ
- ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping Assist System: LKAS)
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทาง (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
- ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
นั่นคือการทำงานของ Honda SENSING ส่วนระบบอื่นๆ ที่มีมาในรถ เช่น ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ เบรกมือไฟฟ้า และระบบ Auto Brake Hold
ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า และด้านหลัง ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) เสียงเตือนคนภายนอกรถขณะขับขี่โหมดมอเตอร์ไฟฟ้า (AVAS)
ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกคู่หน้าและไฟท้ายแบบ LED เสาอากาศแบบครีบฉลาม มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Auto
ระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ช่องปรับอากาศและช่องเชื่อมต่อ USB 2 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ที่ชาร์จ โทรศัพท์แบบไร้สาย และฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เทคโนโลยีเชื่อมต่อรถยนต์ที่ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน
โดยรวมแล้ว ถ้าถามว่าน่าสนใจไหม ผมตอบว่าน่าสนใจ เพราะเป็นรถที่ขับได้สนุก ขณะที่เรื่องของอัตราสิ้นเปลืองและการปล่อยไอเสียนั้น ฮอนด้าระบุว่าอยู่ที่ 25 กิโลเมตร/ลิตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 96 กรัม/กิโลเมตร
ส่วนการขับขี่จริง ความเร็วแบบสูงกว่าการเดินทางทั่วไปเล็กน้อย อยู่ที่ประมาณ 19-21 กิโลเมตร/ลิตร ผมว่าก็ตอบโจทย์ยุคน้ำมันแพงได้ดีครับ