'Lamborghini Huracan STO' ดิบหน่อย ดิ้นนิด แต่เชื่องมือ เริ่มต้น 29.99 ล้าน
ลัมโบร์กินี ฮูราคาน เอสทีโอ (Lamborghini Huracan STO) เป็นซูเปอร์คาร์ ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานทั่วไป ได้แรงบันดาลใจจากรถแข่ง Huracan Super Trofeo EVO และ GT3 EVO เพื่อตอบสนองผู้ชื่นชอบอารมณ์สปอร์ตสุดๆ แม้จะไม่ได้พาไปลงแทรคก็ตาม แต่วันนี้เราจะพามันมาลงแทรคที่เมืองไทย
ลัมโบรกินี ฮูราคาน เอสทีโอ (Lamborghini Huracan STO) ซึ่ง STO ย่อมาจาก Super Trofeo Omologata ออกแบบโดยเน้นให้มีน้ำหนักเบา ดังนั้นจึงพบวัสดุอย่างคาร์บอนไฟเบอร์เป็นส่วนประกอบถึง 75% ของตัวรถ ส่งผลให้มีน้ำหนักรถเปล่าแค่ 1,339 กก. และเมื่อมองไปที่สมรรถนะเครื่องยนต์ จะพบว่าม้า 1 ตัว ลากน้ำหนักแค่ 2.09 กก. เท่านั้น
ครับ เครื่องยนต์เบนซิน วี 10 ขนาด 5.2 ลิตร ตัวนี้ ให้กำลังสูงสุด 640 แรงม้า และแรงบิด 565 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 310 กม./ชม.
ซึ่งจากเสปคเบื้องต้น ก็เห็นได้ว่า ตัวเลขต่างๆ มันเร้าใจไปหมด ยิ่งดูราค่าตัว ซึ่งเริ่มต้น 29,990,000 บาท ยิ่งเร้าใจขึ้น และเร้าใจมากว่านั้น คือ เมื่อ “เรนาสโซ่ มอเตอร์” ผู้แทนจำหน่ายลัมโบร์กินี อย่างเป็นทางการ เชื้อเชิญให้ไปลองควบกระทิงดุคันนี้กัน โดยจุดหมายปลายทาง คือ พีระ เซอร์กิต สนามแข่งรถเก่าแก่ เล็กๆ ที่มีเสน่ห์
แถมวันนั้น มีเสน่ห์เพิ่มขึ้นไปอีก ด้วยสายฝนที่โปรยปรายลงมาจนฉ่ำแทรค
แน่นอน สนามที่แทร็คไม่กว้างนัก ผิวลื่นเล็กน้อย เป็นเเรื่องที่ท้าทายกับพละกำลังล้นๆ
แต่เอสทีโอ นอกจากความแรงแล้ว ยังมีตัวเสริมอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นช่วงล่าง ระบบแอโรไดนามิค ไปจนถึงระบบเบรกซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก และหากดูข้อมูลโรงงาน เห็นได้ชัดว่ามันมีประสิทธิภาพที่ดี การหยุดรถจากความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้ระยะทางแค่ 30 เมตร และจาก 200 ใช้ระยะ 110 เมตร
ดังนั้นในช่วงทางตรงของสนามที่แม้ไม่ยาวนัก แต่แรงบิดกับแรงม้าช่วยกันทำให้มันทำท็อปสปีดได้ราวๆ 200 กม./ชม. ก่อนที่จะต้องเบรกหนักๆ เพื่อแต่งตัวก่อนเข้าโค้งซ้ายเพื่อไต่ขึ้นเนินหลังเขา ซึ่งสามารถลดความเร็วได้รวดเร็ว และการทรงตัวก็ดี แม้ว่าช่วงที่เท้ายังอยู่บนแป้นเบรก หน้ารถจะเลยเข้าไปถึงช่วงเข้าสู่ทางโค้งแล้วก็ตาม
ในช่วงอื่นก็เช่นกัน เมื่อผ่านกลางโค้ง ทำให้กล้าที่จะกดคันเร่งส่งรถออกจากโค้งพุ่งใส่โค้งต่อไป เพราะมั่นใจว่าเบรกจะจัดการลดความเร็วลงมาในระดับที่ต้องการได้
ขณะที่การทรงตัวของรถ การยึดเกาะถนนมั่นใจได้ครับ การลัดเลาะไปกับโค้ง หรือการจิกโค้งคม และที่ความเร็วสูง การออกแบบตัวถังให้มีแรงกดที่ด้านท้าย ช่วยให้การทรงตัวยังนิ่ง วางใจได้
และเมื่อเติมความเร็วเข้าไปมากขึ้นช่วงเข้าโค้งจนรู้สึกได้ว่าท้ายรถดิ้นออกเล็กน้อยในหลายๆ โค้ง โดยเฉพาะโค้งแคบๆ แต่ที่น่าสนใจคือ ไม่ทำให้ตกใจ แต่กลายเป็นเรื่องสนุกในการแก้ด้วยพวงมาลัยเล็กน้อย เลี้ยงๆ ตัวรถออกจากโค้ง พร้อมกดคันเร่งเพิ่มแรงส่งต่อไปทันที
ความคล่องแคล่ว ความแม่นยำ และการยึดเกาะถนน สะท้อนออกมาได้ชัดเจนในช่วงโค้ง เอส 1 เอส 2 ที่ต่อเนื่องกัน เพราะ เอสทีโอ สามารถพุ่งผ่านไปได้ง่ายๆ กับการโยกพวงมาลัยแค่เล็กน้อยเท่านั้น
สำหรับโหมดการขับขี่ เอสทีโอ มี 3 โหมด ให้เลือก คือ STO, Trofeo และ Pioggia กดเลือกที่พวงมาลัยได้เลย
- โหมด STO เหมาะสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวันทั่วไปหรือบนถนนคดเคี้ยว
- โหมด Trofeo ตัวรถจะถูกตั้งค่าให้ตอบสนองกับการขับขี่บนสนามแข่งในพื้นผิวที่แห้ง
- โหมด Pioggia จะเหมาะกับการขับขี่บนผิวถนนเปียก จากระบบป้องกันการลื่นไถล ระบบกระจายแรงบิด ระบบเลี้ยวล้อหลังที่ช่วยให้เข้าออกโค้งได้แม่นยำขึ้น รวมถึงควบคุมระบบเบรกเอบีเอสให้เหมาะสมกับพื้นผิวถนนเปียก
ความเป็นรถที่มีน้ำหนักเบา ช่วยให้เครื่องยนต์แสดงออกถึงสมรรถนะได้เต็มที่ รวมถึงยังเพิ่มความคล่องแคล่วในการขับขี่ในแทร็คได้ชัดเจน ซึ่งเมื่อพูดถึงน้ำหนัก ของเอสทีโอ หากเทียบกับรุ่นพิเศษอย่าง ฮูราคาน เพอร์ฟอร์แมนเต แล้ว มันเบาลง 43 กก. ไม่น้อยเลยทีเดียว
การลดน้ำหนักรถไม่เพียงแค่โครงสร้างตัวถังเท่านั้น แม้แต่กระจกหน้า ก็ยังเบาลง 20% และหากคิดว่ายังเบาไม่พอ ลูกค้าจะเลือกออปชั่นพิเศษเพิ่มอย่างล้อแม็กนีเซียมก็ได้เช่นกัน
ส่วนหลักอากาศพลศาสตร์ที่ช่วยในการขับขี่ได้ดีนั้นถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาเอสทีโอ ซึ่งไม่ใช่แค่การเพิ่มแรงกด แต่ว่ายังออกแบบให้รีดอากาศออกจากตัวรถได้ดี ซึ่งเชื่อว่าถ้าไปขับขี่บนถนนหลวง รถจะมีความนิ่ง การทรงตัวที่ดี
ซึ่งการออกแบบเป็นความร่วมมือของแผนกวิจัยและพัฒนาของลัมโบร์กินี แผนกมอเตอร์สปอร์ต Squadra Corse และแผนกดีไซน์ Centro Stile โดยหลายๆ ส่วนได้แรงบันดาลใจจากรถแข่ง
สิ่งที่เห็นเช่น การนำฝากระโปรงหน้า ซุ้มล้อ และกันชนหน้า ของตัวรถมาออกแบบใหม่ให้เป็นชิ้นเดียวกัน ช่องดักอากาศบริเวณฝากระโปรงหน้าช่วยจัดระเบียบให้อากาศไหลเวียนผ่านตัวรถได้ดีขึ้น ช่วยทั้งการทรงตัว เพิ่มแรงกด และการระบายความร้อนเครื่องยนต์
ด้านหน้าติดตั้งสปลิตเตอร์หน้าใหม่ที่มีช่องระบายอากาศไปยังใต้ท้องรถจนถึงดิฟฟิวเซอร์หลังที่ช่วยลดการต้านลมเมื่อต้องการทำความเร็วในทางตรง
ซุ้มล้อหลังพร้อมช่องดักอากาศพัฒนามาจากรถแข่ง One Make Race อย่าง Super Trofeo EVO เป้าหมายให้ตัวรถลู่ลมมากยิ่งขึ้น และสร้างแรงกดด้านท้าย
ที่ฝากระโปรงหลัง จะเห็นครีบอากาศ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวของรถขณะเข้าโค้ง โดยหลักการคืออากาศจะถูกตัดผ่านและไหลไปที่สปอยเลอร์ด้านท้าย ซึ่งสปอยเลอร์ตัวนี้สามารถปรับตั้งได้ 3 ระดับ ให้เหมาะสมกับแต่ละรูปแบบสนาม
การใช้ประโยชน์ของลม ยังรวมถึงเรื่องของเบรกด้วย เพราะการทำงานหนักๆ เบรกหนักๆ บ่อยๆ ความร้อนเกิดขึ้นสูง จึงสร้างช่องดักอากาศเบรกหน้าใหม่ ซึ่งพัฒนาจากรถ F1 โดย Brembo แอโรไดนามิค
โดยรวม สำหรับ ลัมโบร์กินี ฮูราคาน เอสทีโอ ก็เห็นได้ชัดครับว่า การขับขี่ในแทร็คแบบใช้ความเร็วสูง
เอสทีโอ เป็นรถที่ขับได้สนุก รถมีอารมณ์ดิบๆบ้าง มีดื้อมีดิ้นเล็กน้อยเหมือนกระทิงเริงฝน แต่ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมครับ