เปิดสเปค MG VS HEV ไฮบริด ท้าตลาด B-SUV พร้อมลุย 8 ส.ค.
รถเอนกประสงค์บี-เซ็กเมนต์ (B-Segment) ปีนี้จะยิ่งเข้มข้นมากขึ้น จากความเคลื่อนไหวของหลายๆ ยี่ห้อ ทั้งการปรับโฉม (minor change) การเปลี่ยนรุ่น (model change) และล่าสุดคือ การเข้ามาของรุ่นใหม่อย่าง เอ็มจี วีเอส เอชอีวี (MG VS HEV)
เอ็มจี วีเอส เอชอีวี (MG VS HEV) มีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการวันที่ 8 สิงหาคม 2565 รวมถึงการประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
แต่หลายคนก็อาจจะคาดการณ์ได้คร่าวๆ จากตำแหน่งในตลาด โดยวีเอส เอชอีวี จะอยู่กลางระหว่าง เอ็มจี แซดเอส (MG ZS) และ เอ็มจี เอชเอส (MG HS)
เอ็มจี วีเอส เอชอีวี เป็นรถที่ใช้พื้นฐานร่วมกับ แซดเอส แต่แนวทางการออกแบบ และการวางตลาดนั้นอยู่คนละกลุ่มกัน ทำให้หลายคนอาจจะมีคำถามว่า แล้วสรุป วีเอส จะอยู่ในตลาดไหนกันแน่ เพราะอยู่ระหว่าง แซดเอส ที่เป็นรถในตลาด บี-เซ็กเมนต์ และ เอชเอส ที่เป็น ซี-เซ็กเมนต์ แต่โครงสร้างแพลตฟอร์ม ใช้ร่วมกับ แซดเอส
แต่หากดูแนวทางการทำตลาดของเอ็มจี ก็อาจจะไม่ต้องแปลกใจ เพราะเอ็มจีวางตลาดคร่อมๆ เซ็กเมนต์ เช่น เอ็มจี 5 ที่โครงสร้างตัวถังเป็น ซี-เซ็กเมนต์ แต่วางตลาดในกลุ่ม บี-เซ็กเมนต์ แถมยังลงมาแข่งในตลาด อีโค คาร์ ด้วย
ล่าสุด บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดสเปค MG VS HEV ที่จะจำหนายในไทย อย่างเป็นทางการ
โดย วีเอส เอชอีวี ออกแบบภายใต้แนวคิด BRIT DYNAMIC โดยการออกแบบที่โดดเด่น คือ รูปแบบกระจังหน้า Electrified Matrix Grille Design ซึ่งเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมในกลุ่มรถพลังงานไฟฟ้า (EV) แม้ว่า วีเอส จะเป็นรถยนต์ไฮบริด (Hybrid) ก็ตาม
ไฟหน้าLED Projector พร้อมระบบ เปิด-ปิดอัตโนมัติ ไฟสำหรับขับขี่เวลากลางวัน (DAYTIME RUNNING LIGHT) ไฟท้าย LED
ล้ออัลลอยออกแบบดีไซน์ใหม่ขนาด 17 นิ้ว และเสริมด้วย AERO WHEEL COVER หรือฝาครอบ ที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยลดแรงต้านลม หรือเพิ่ม AERODYNAMIC ให้ดียิ่งขึ้น
ห้องโดยสารของ วีเอส เอชอีวี มี 2 แบบให้ลูกค้าเลือกคือ สีทูโทน (ดำ-ขาว) และและสีดำ และการออกแบบดูทันสมัยทีเดียว และดูพรีเมียม โดยเฉพาะกับหน้าจอคู่ หรือ Dual Widescreen Cockpit แบบ HD ขนาดใหญ่ 2 จอเชื่อมต่อกัน
ประกอบด้วยหน้าจอแสดงผลแบบ Full Virtual Dashboard ขนาด 12.3 นิ้ว เห็นข้อมูลชัดเจน และหน้าจอ Touch Screen ขนาด 12.3 นิ้ว ควบคุมการทำงาน ผ่าน Illuminated Touch Panel
ที่คอนโซลกลาง เป็นแบบ Double Layer เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย
เอาใจโลกยุคดิจิทัลด้วยที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charger) และ ช่องเชื่อมต่อที่มีทั้ง USB TYPE C และ TYPE A
สำหรับเบาะนั่งด้านหลังมีช่องปรับอากาศมาให้ รวมถึงช่องยูเอสบี 1 ช่อง
ส่วนออปชั่นสำคัญๆ อื่นๆ ด้านความสะดวกสบาย ที่ติดตั้งมาให้กับ วีเอส เอชอีวี เช่น
- เบาะคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง วนเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง ที่พักแขนด้านหน้า
- หลังคา Panoramic Sunroof
- พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ - วางสายโทรศัพท์
- กระจกมองหลังแบบตัดแสง
- ลำโพง 6 ดอก
- รองรับระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และ Android
- กุญแจรีโมท (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start
- ระบบปรับอากาศแบบดิจิทัล
- ช่องจ่ายไฟ Power Outlet 12V
มาว่ากันที่ขุมพลัง ไฮบริด เป็นการทำงานร่วมกัคนของเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว VTi-TECH ขนาด 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมกันสูงสุด 177 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ E-CVT มีโหมดขับขี่3 รูปแบบ คือ Eco, Comfort และ Sport
และระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) หรือการชาร์จกลับตามาระดับความหน่วงได้ 3 ระดับ
ด้านออปชั่นด้านความปลอดภัย หลักๆ ประกอบด้วย
- กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ High Definition
- เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake)
- ระบบป้องกันการไหลAVH (Auto Vehicle Hold)
- ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS (Anti-lock Brake System) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก
- EBD (Electronic Brake force Distribution)
- ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
- ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
- ระบบควบคุมความเร็วรถขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control System)
- สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
- ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
- ระบบจำกัดความเร็ว ASL (Active Speed Limit)
และเมื่อพูดถึงเอ็มจี ก็ต้องพูดถึง i-SMART ซึ่งแน่นอน วีเอส เอชอีวี ก็มีมาให้เช่นกัน