ตุลาคม เจอกัน 'Haval H6 Plug-in Hybrid' ชาร์จ 1 ครั้ง วิ่งไกล 201 กม.
เกรท วอลล์ ขยับตัวสร้างความคึกคักให้กับตลาดอีกครั้ง ด้วยการติดหัวรถใหม่ให้กับ เอช 6 นั่นคือขุมพลังแบบ ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) หรือเรียกว่า “ฮาวาล เอช 6 ปลั๊ก-อิน ไฮบริด เอสยูวี (”Haval H6 Plug-in Hybrid)
เกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor) แบรนด์รถยนต์จากจีน เข้ามาในไทยไม่นานนัก แต่มีทิศทางการตลาดที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว โดยในระยะเวลาปีกว่าๆ นับตั้งแต่เปิดตัวรุ่นแรก คือ ฮาวาล เอช 6 ไฮบริด เอสยูวี (Haval H6 Hybrid SUV) ตามด้วย รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) อย่าง โอร่า กู๊ดแคท (Good Cat) และ เอสยูวีขนาดเล็ก กลุ่ม บี-เซ็กเมนต์ (B-SUV) อย่าง ฮาวาล โจไลอ้อน ไฮบริด เอสยูวี (Haval Jolion Hybrid SUV) ถึงปัจจุบันมียอดขายทะลุ 10,000 คัน ไปแล้ว
รุ่นที่ขายดีที่สุดก็คือ ฮาวาล เอช 6 ไฮบริด เอสยูวี ด้วยยอดราว 5,700 คัน
และสำหรับรุ่นใหม่ที่เตรียมจะเปิดตัวอย่าง “ฮาวาล เอช 6 ปลั๊ก-อิน ไฮบริด เอสยูวี” ก็น่าจะทำให้ตลาดของเกรท วอลล์ คึกคักขึ้นไปอีก โดยล่าสุด เกรท วอลล์ เปิดเผยสเปคอย่างเป็นทางการของรถรุ่นนี้
สำหรับรุ่นใหม่ ถ้าเทียบกับ เอช 6 ไฮบริด เอสยูวี โครงสร้างตัวถังรวมๆ เหมือนกัน มีต่างกันเล็กน้อยสองสามจุด
อย่างแรกคือ ด้านหน้าที่ปรับใหม่ ภาษาดีไซน์ของเกรท วอลล์ เรียกว่า "Star Matrix" ซึ่งดูพรีเมียมขึ้น และให้ความรู้สึกถึงพลังงานไฟฟ้ามากกว่า โดยกระจังหน้ามีขนาดใหญ่ สีโครเมียม ไล่ระดับช่องระบายอากาศให้เกิดมิติ
ขยับมาด้านข้าง เท่าเดิม แต่เพิ่มขนาดยางหน้ากว้างขึ้น เป็น 235/55 R19 จากเดิม 225/60 R19
อีกจุดหนึ่งอยู่ด้านท้าย คือ ฝาท้ายที่ควบคุมการเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า เหมือนกับรุ่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือ คิก เซ็นเซอร์ แต่ เกรท วอลล์ เรียกเป็นทางการว่า แฮนด์ ฟรี คือ ไม่ต้องใช้มือจับหรือแตะต้องแต่อย่างใด ใช้เท้าแหย่เข้าไปใต้กันชนเท่านั้น เพื่อสั่งเปิด หรือ ปิด ซึ่งเซ็นเซอร์ ทำงานฉับไว เพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น
ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ยังเหมือนเดิม เช่น มิติตัวถัง ขนาด 1,886 x 4,683 x 1,730 มม. (กว้าง x ยาว x สูง) ระยะฐานล้อ 2,738 มม. แต่ระยะความสูงใต้ท้องรถลดลง 5 มม. จากการมีแบตเตอรีติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ
ช่วงล่างด้านหน้า อิสระแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ระบบกันสะเทือนหลัง อิสระมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง
ไฟหน้า LED ปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ และไฟส่องนำทางหลังดับเครื่องยนต์ (Follow me home)
ไฟท้าย LED Taillight Strip ดีไซน์เป็นแนวยาว ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
หลังคาพาโนรามิค ซันรูฟ ขนาดใหญ่ มีพื้นที่รวม 1.2 ตารางเมตร สปอยเลอร์ท้าย และเสาอากาศแบบครีบฉลาม (shark fin)
ภายในห้องโดยสาร และออปชั่นต่างๆ ก็ยังคงเหมือนเดิม ซึ่งจริงๆ ก็ต้องบอกว่า มีมากอยู่แล้ว
- คอนโซลหน้าสีทูโทน พร้อมตกแต่งด้วยวัสดุสี Rose Gold, Silver, Piano Black, Chrome
- ติดตั้งจอต่างๆ รวม 3 จอ คือ จอมอนิเตอร์ตรงกลาง แบบ HD Touch Screen Audio Display ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบคามบันบันเทิงรองรับทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, MP3, JOOX และ Navigator บอกตำแหน่ง Point of Interest ทั้งร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน รวมถึง ห้างสรรพสินค้า
- จอแสดงข้อมูลการขับขี่ HD Multi Information Display ขนาด 10.25 นิ้ว
- และจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า หรือ Head Up Display
- เบาะนั่งไฟฟ้าคู่หน้า พร้อมระบบระบายอากาศ เบาะผู้ขับปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง ระบบดันหลังปรับด้วยระบบไฟฟ้า และมีปุ่มปรับตำแหน่งเบาะผู้โดยสารด้านหน้า ซึ่งเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง
- เบาะนั่งแถวหลัง พร้อมที่เท้าแขนกลาง มีช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง และช่องเสียบ USB และพับแยกได้แบบ 60:40
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมระบบกรองอากาศ PM2.5
- ที่ชาร์จโทรศัพท์ ไร้สาย หรือ Wireless Charger
- Ambient Light ช่วยสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร
- เกียร์ไฟฟ้า (Electronic Shifter)
- กุญแจ Smart Key และระบบ Push Start
- การอัพเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์ (FOTA)
- ระบบสั่งงานด้วยเสียง (Voice Command)
- GWM Application ระบบช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมและเชื่อมต่อฟังก์ชั่นของรถยนต์ได้ แม้อยู่ในระยะที่ไกลจากตัวรถ
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ซึ่งทำงานในทางโค้งด้วยการลดความเร็วลงมาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมปลอดภัย (Intelligent ACC)ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA)
- ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IIP) คือ จอดขนาน จอดเข้าซอง และจอดเฉียง ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) เมื่อขับรถด้วยความเร็วต่ำกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบจะบันทึกเส้นทางและสามารถถอยหลังกลับได้ในระยะ 50 เมตรโดยอัตโนมัติ จากการบันทึกเส้นทางด้วยกล้อง 360 องศา 4 ตัว
- ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI)
- ระบบช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB)
- ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
- ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK)
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (BSD)
- ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 (SCM) โดยรถจะพยายามรักษาเสถียรภาพเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนระบบช่วยลงทางลาดชัน (HDC)
- ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA)
- ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู (DOW)
- ระบบตรวจความดันลมยาง (TPMS)
- ระบบช่วยเตือนความเมื่อยล้าขณะขับขี่ (DFM)
แต่สิ่งที่แตกต่างชัดเจน ของ HAVAL H6 Plug-in Hybrid SUV ก็คือ ขุมพลัง ที่หันมาใช้ระบบ ปลั๊ก-อิน ไฮบริด เป็นการทำงานรวมกันของเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร เทอร์โบ กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 326 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 530 นิวตันเมตร
แรงม้าเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่น ฮาวาล เอช 6 ไฮบริด เอสยูวี ซึ่งอยู่ที่ 243 แรงม้า ส่วนแรงบิดเท่ากัน
แรงม้าที่ได้เพิ่มขึ้นมา 83 ตัว มาจากประสิทธิภาพของแบตเตอรีในการป้อนพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น โดยเป็นแบตเตอรีแบบ ลิเธียม Ternaryขนาดความจุ 34 กิโลวัตต์ชั่วโมง ขณะที่รุ่น ไฮบริด อยู่ที่ 1.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง
แต่การเพิ่มขึ้นของแบตเตอรี ก็มาพร้อมกับน้ำหนักโดยรวมที่เพิ่มขึ้น ประมาณ 300 กิโลกรัม แต่ขณะเดียวกันแบตเตอรีที่ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ ก็ช่วยให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำลง
แบตเตอรี 34 กิโลวัตต์ชั่วโมง ช่วยให้สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวได้ระยะทางสูงสุด 201 กิโลเมตร ตามมาตฐาน NEDC แต่ถ้าใช้งานจริง คงได้ระยะทางที่น้อยกว่านี้ จากปัจจัยหลายๆ อย่าง
ซึ่งก็น่าจะอยู่ในระดับ 150-160 กิโลเมตร ซึ่งระยะเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้การใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ต้องเสียน้ำมันแม้แต่หยดเดียว ถือว่าตอบโจทย์ สำหรับผู้ที่นิยมชมชอบพลังงานไฟฟ้า ทั้งเรื่องของสมรรถนะ หรือว่า การประหยัดค่าเชื้อเพลิง แต่ไม่สะดวกที่จะไปต่อคิวรอชาร์จ เพราะมีเครื่องยนต์รองรับการเดินทางระยะไกล
โดยรเะบบขับขี่เลือกได้ 2 ระบบคือ ระบบไฮบริด และระบบไฟฟ้า ไม่มีระบบเครื่องยนต์อย่างเดียว
ทั้ง 2 ระบบ เลือกโหมดการขับขี่ได้ทั้ง 4 รูปแบบ คือ โหมดมาตรฐาน โหมดสปอร์ต โหมดประหยัด และโหมดถนนลื่น
สำหรับหัวชาร์จเป็นแบบ CCS Type 2 combo (Combined Charging System) รองรับการชาร์จแบบเร็วด้วยไฟกระแสตรง (DC) และการชาร์จแบบไฟบ้าน (AC)
การชาร์จแบบเร็ว จาก 0%-80% ใช้เวลาประมาณ 35 นาที
การชาร์จแบบธรรมดา จาก 0%-100% ประมาณ 6 ชั่วโมง
สำหรับราคาจำหน่าย ยังไม่ออกมา ก็ลองคาดเดากันสนุกๆ ว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าไรจากรุ่นไฮบริดที่จำหน่ายในราคา 1,149,000 บาท และ 1,249,000 บาท กับแบตเตอรี ที่เพิ่มขนาดความขึ้นอย่างมาก และเป็นที่รู้กันว่า แบตเตอรีเป็นส่วนประกอบที่มีราคาแพง
หรือถ้าขี้เกียจเดาให้ปวดหัว ก็รอการเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกไม่นานในเดือนตุลาคม ที่จะถึงนี้