รถขับประทับใจ 2565 "อีโค คาร์" ยัน "ซูเปอร์คาร์"
ปีนี้แวดวงตลาดรถยนต์น่าจะคึกคักยิ่งขึ้น จะมีรถใหม่ๆ เข้ามาเสริมตลาด แต่ก่อนที่จะมาพูดกันถึงรถใหม่ เราย้อนไปดูกันว่าปี 2565 ที่ผ่านมา ที่มีรถทดสอบมากมาย ตั้งแต่อีโค คาร์ ยันซูเปอร์คาร์ แต่ละคันมีจุดเด่นจุดขายเฉพาะตัว มีคันไหนที่มีจุดที่ทำให้นึกถึงกันบ้าง
รวมรถปี 65 คันแรกเพิ่งลองขับไปเมื่อไม่นานมานี้ "เมอร์เซเดส-เบนซ์ C 350 e AMG Dynamic" ที่ผมชอบเพราะเห็นว่ามันเป็นรถปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่สามารถตอบสนองคนที่ชื่นชอบ อีวี ได้ดี จากความสามารถในการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวได้สูงสุด 100 กม. และการลองขับจริง ด้วยความเร็วที่ค่อนข้างสูงกลับทำได้ถึง 108 กม. และความเร็วสูงสุด 147 กม./ชม. ขณะที่การควบคุมรถ ช่วงล่าง ก็ให้ทั้งความนุ่มสบาย และอารมณ์สปอร์ต
นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์
หลังการปรับตำแหน่งตลาดใหม่ ทำให้คิกส์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ไม่เพียงเท่านั้นยังอัพเกรดในส่วนอื่นๆ ทั้งออปชั่น และทางเทคนิค เช่น แบตเตอรีลิเธียม ไอออน 2.06 กิโลวัตต์-ชั่วโมง จากเดิม 1.57 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขึ้น 30% ซึ่งความจุแบตเตอรี อาจดูเหมือนไม่เยอะแต่ก็ช่วยลดภาระเครื่องยนต์ และช่วยให้การทำงานลื่นไหลมากขึ้น
แต่จุดเด่นของ คิกส์ ที่คนที่มีโอกาสขับจะชื่นชอบคือ เป็นรถที่ขับสนุก ประหยัด อัตราเร่งดี ช่วงล่างดี ลุยทางขรุขระ ทางที่มีหินลอยที่บังเอิญต้องขับผ่านได้ดีจนน่าแปลกใจ แม้รถจะมีอาการสไลด์ให้รู้สึกได้เป็นบางช่วง แต่ก็ยังควบคุมได้ แก้อาการได้ไม่ยาก ช่วยเพิ่มความสนุกได้ยิ่งขึ้น หรือการขับขึ้น-ลงเขา ช่วงล่างจัดการได้ดี นอกจากนี้ e-Paddle Step ที่ปรับปรุงใหม่ ก็ช่วยให้คุมรถได้ง่าย และเป็นธรรมชาติมากขึ้น
โตโยต้า ยาริส เอทีฟ
เป็นอีโค คาร์ ร้อนแรงแห่งปี หลังจากโตโยต้ายกระดับรถขึ้นอย่างชัดเจน เพิ่่มออปชั่น แต่ขยับราคาแค่เล็กน้อย ส่งผลให้แค่เดือนแรกมียอดจองถล่มทลาย 2.1 หมื่นคัน
เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร บล็อกเดิม ปรับปรุงรายละเอียดบางอย่าง เช่น หัวฉีด หรือ เพิ่มความแม่นยำในการเผาไหม้ ด้วยการติดตั้งเซนเซอร์จับส่วนผสมระหว่างอากาศกับน้ำมัน ทำงานได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่แตกต่างมากนัก อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ ไม่จี๊ดจ๊าด แต่ก็ใช้งานได้เพียงพอ ไล่ความเร็วขึ้นระดับสูงๆ ได้
แต่จุดเด่นอยู่ที่เรื่องการควบคุมรถ และอาการของรถมากกว่า การขับขี่ในทุกย่านความเร็ว โครงสร้างของรถจัดการได้ดี รถนิ่ง การทรงตัวดี ไม่มีอาการวอกแวก ร่อน หรือจะเป็นเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามเชิงเขา ก็ยังลุยกับทางโค้งได้ดีกว่าที่คิดไว้ มีความแม่นยำกับโค้ง ไม่มีอาการดื้อ แม้การโยนต้วจะมีให้รู้สึกได้ก็ตาม แต่ไม่เป็นปัญหาต่อการขับขี่ ขณะที่พวงมาลัยก็มีคามแม่นยำสูง และที่สำคัญมีน้ำหนักที่ดี มีแรงหน่วงพอสมควร เมื่อหักเลี้ยวในทางโค้ง
ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์
ขวัญใจสายลุย สายแรง สายเร็ว แม้จะไม่เป็นมิตรกับน้ำมันมากนัก กับเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร วี 6 เป็นรถที่ดุดันบนทางฝุ่น และงานง่ายของการขับขี่แบบ 4L
เหมาะกับใครที่ชอบเส้นทางนอกถนน จะทางฝุ่น ทุ่งหญ้า หรือเปียกแฉะ มันพร้อมตะลุยไปด้วยความเร็วแบบที่ยังสามารถควบคุมได้ง่าย สนุกกับการจิกโค้ง ให้ท้ายสไลด์ออก โหมด BAJA ยังสร้างความประทับใจได้เสมอ แค่เลี้ยงพวงมาลัยเล็กน้อย โดยไม่ต้องผ่อนความเร็ว
และหากต้องขับในทางที่โหดกว่านั้นเป็นออฟโรดหนักๆ ระบบขับเคลื่อน 4L กับสมรรถนะเครื่องยนต์ ช่วยให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่าย
จุดขายอีกอย่างที่มีในแร็พเตอร์ ไม่มีในปิกอัพคันไหน คือ ดิฟล็อค ล้อหน้า ซึ่งควบคุมด้วยไฟฟ้า ใช้งานง่าย และก็ช่วยให้การขับขี่ในบางเส้นทางง่ายขึ้น
เฟอร์รารี่ 296 GTB
รถแบบ Berlinetta 2 ที่นั่ง เครื่องยนต์วางกลางลำด้านหลัง เป็นการพลิกโฉมของเฟอร์รารี่อย่างแท้จริง จากการเปิดตัวเครื่องยนต์แบบใหม่ ที่จะมาอยู่เคียงคู่กับกลุ่มเครื่องยนต์ 8 สูบ และ 12 สูบ ที่ประสบความสำเร็จ และคว้ารางวัลต่างๆ มาแล้วมากมาย
เป็นโรด คาร์ รุ่นแรกภายใต้สัญลักษณ์ม้าลำพองที่ติดตั้งเครื่องยนต์ วี 6 ความจุ 2,992 ซีซี 663 แรงม้า และยังเป็น เฟอร์รารีคันแรกที่ใช้เทอร์โบติดตั้งไว้กลางเสื้อสูบ ช่วยให้เครื่องยนต์ม่ีขนาดกะทัดรัด, มีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง และยังเป็นม้าลำพองตัวแรกที่มาพร้อมระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด
สิ่งที่เด่นอย่างหนึ่งของมันคือ เป็นซูเปอร์คาร์ที่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้ เพราะเขับขี่ง่าย ควบคุมง่าย สบายๆ
เป็นรถที่อัตราเร่งร้อนแรง ขณะที่การกดเบรกแบรุนแรง เพื่อนำรถเข้าสู่ทางโค้ง รถยังทรงตัวได้ดี และจังหวะที่ตัวรถไหลไปในทิศทางที่ต้องการ โดยที่ความรู้สึกของตัวเราเหมือนถูกเหวี่ยงออกนอกโค้ง ม้นเป็นความรู้สึกที่เร้าใจ และเมื่อเติมคันเร่งออกจากโค้งจนรู้สึกได้ว่าท้ายรถเริ่มออกท่ี่ปลายโค้ง แต่ก็ไม่ต้องทำอะไรกับเท้า ยังแช่ไว้ที่คันเร่งเช่นเดิม และแก้ที่พวงมาลัย รถก็พุ่งไปในทิศทางที่ต้องการโดยไม่เสียความเร็วไปแต่อย่างใด
ลัมโบร์กินี ฮูราคาน เอสทีโอ
เป็นรถที่ผมนิยามว่า ดิบหน่อย ดิ้นนิด แต่เชื่องมือ มันเป็นซูเปอร์คาร์ ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานทั่วไป แต่ว่าได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างมาจากรถแข่ง Huracan Super Trofeo EVO และ GT3 EVO ตัวถังใข้คาร์บอนไฟเบอร์เป็นส่วนประกอบถึง 75% ส่งผลให้มีน้ำหนักแค่ 1,339 กก. อย่างนี้ม้า 640 ตัว บอกว่าสบายๆ ส่วนแรงบิด 565 นิวตันเมตร
วันที่ผมไปขับที่สนามพีระฯ ธรรมชาติเพิ่มความท้าทายด้วยสายฝนที่โปรยปรายลงมาทำให้สนามที่แทรคไม่กว้างนัก มีความลื่นเพิ่มขึ้น แต่ด้วยการเซ็ทช่วงล่าง และหลักแอโรไดนามิค ทำให้การขับขี่ทำได้สนุก ทางตรงของสนามที่แม้ไม่ยาวนัก ทำท็อปสปีดได้ราวๆ 200 กม./ชม. ก่อนที่จะต้องเบรกหนักๆ เพื่อแต่งตัวก่อนเข้าโค้งซ้ายเพื่อไต่ขึ้นเนินหลังเขา ซึ่งสามารถลดความเร็วได้รวดเร็ว และการทรงตัวก็ดี แม้ว่าช่วงที่เท้ายังอยู่บนแป้นเบรก หน้ารถจะเลยเข้าไปถึงช่วงเข้าสู่ทางโค้งแล้วก็ตาม
และเติมความเร็วช่วงเข้าโค้งจนรู้สึกได้ว่าท้ายรถดิ้นออกเล็กน้อยในหลายๆ โค้ง โดยเฉพาะโค้งแคบๆ แต่ที่น่าสนใจคือ ไม่ทำให้ตกใจ แต่กลายเป็นเรื่องสนุกในการแก้ด้วยพวงมาลัยเล็กน้อย เลี้ยงๆ ตัวรถออกจากโค้ง พร้อมกดคันเร่งเพิ่มแรงส่งต่อไปทันที
พรีเมียม คาร์ ลุยได้ ไม่หวงตัว
นอกจากการขับทั่วๆ ไปแล้ว ปีที่ผ่านมา มีกิจกรรมการทดสอบรถที่น่าประทับใจอยู่หลายกิจกรรม แตรายการหนึ่งที่ต้องยกขึ้นมาพูดถึงคือ “Mercedes-Benz SUV Driving Events 2022” ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยกขบวน รถในตระกูล เอสยูวี มาให้ได้ขับกันในรูปแบบออฟโรด ที่มีทั้งแบบความเร็วต่ำ และความเร็วสูง ไม่ว่าจะเป็น จีแอลเอ จีแอลบี จีแอลซี จีแอลอี และจีแอลเอส
โดยปกติแล้วลูกค้ารถกลุ่มนี้คงมีน้อยคนที่จะเอารถสุดรักมาขับกันแบบโหดๆ แต่กิจกรรมนี้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำให้รู้ว่ารถทำอะไรได้บ้าง อย่างน้อยหากมีเหตุจำเป็นจริงๆ ก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้ และระบบต่างๆ ทำงานอย่างไร ใช้อย่างไร
การขับขี่ ก็มีทั้งการลองใช้งานระบบต่างๆ ในสนามที่จัดขึ้นมาเป็นสถานีทดสอบ ใช้ความเร็วช้าๆ ผ่านอุปสรรคโหดๆ เช่น หลุมลึก ร่องโคลนร่องน้ำ เนินชัน หรือเนินเอียง และการขับแบบแรลลี ที่ใช้ความเร็วสูง เป็นรถมาตรฐานโชว์รูม ไม่ได้ปรับไม่ได้แต่งอะไรเพิ่ม และขับกันเต็มที่ เท่าที่จะควบคุมรถไหว โดยไม่ต้องกลัวว่ารถจะช้ำ
ดังนั้น การจับจึงอธิบายได้สั้นๆ ว่า "ไม่ยั้ง"
ทักษะที่นำมาใช้มากที่สุดคือ พวงมาลัย กับคันเร่ง เลี้ยวให้แม่น เลี้ยงคันเร่งให้ดี รถจะผ่านเส้นทางต่างๆ ไปได้อย่างสนุกและไม่ต้องลุ้นว่าจะตกลงไปข้างทาง แค่การเลือกไลน์จะต่างจากทางเรียบเล็กน้อยเท่านั้น เช่น เมื่อจะเข้าไปในโค้งลึกๆ หรือ โค้งยูเทิร์น ลืมจุดเอเปคที่เคยเจอกันในแทรคไปเลย แล้วหันมาใช้วิธีการจิกหน้ารถเข้าด้านในโค้ง
ซึ่งการหมดพวงมาลัยแบบองศามากๆ กับเท้าขวาที่ยังเลี้ยงคันเร่งอยู่ ทำให้ท้ายรถกวาดออกไป และนั่นทำให้วงเลี้ยวแคบลง และช่วยให้รถตั้งลำได้เร็ว ก่อนที่จะเพิ่มน้ำหนักคันเร่งเพื่อถีบตัวออกจากโค้ง พร้อมดีดดินโคลนทรายน้ำกระจายไปทั่ว
แต่ก็มีบ้างครับ บางโค้ง ที่มาอย่างเมามันไปหน่อย ความเร็วเกินลิมิต เมื่อเลี้ยวแล้วทำท่าจะไม่พอรถกวาดออกไปด้านนอกทั้งคัน แต่ก็ไม่ต้องตกใจอะไร เพราะเมื่อถอนคันเร่ง และคืนพวงมาลัยกลับเล็กน้อย รถก็ไต่ขอบนอกของโค้ง ก่อนจะค่อยๆ กลับเข้าสู่กลางเส้นทางได้ไม่ยาก
ตรงนี้ต้องชมรถหละครับ ว่าทำได้ดี
ผมขับหลายรุ่น รุ่นละหลายรอบ ขับจนเหมือนจะเหนื่อย แต่ความสนุกมันปฏิเสธไม่ให้ความเหนื่อยเข้ามาได้
ซึ่งการอยุ่กับรถอย่างเต็มที่แบบนี้ ทำให้จับอารมณ์ของรถได้มาก และรู้ได้เลยว่า ฝูงเอสยูวี ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมสำหรับการใช้งานแบบนี้ ถ้าวันหนึ่งวันใดมีความจำเป็นก็ลุยได้เลย