ถอดสูตรสำเร็จรถ EV จีน ไทยต้องวางฐานประเทศจริงจัง
การขึ้นมายึดหัวหาดในตลาดรถยนต์ EV ของจีน ไม่ใช่เรื่อง ‘ฟลุก’ เพราะจีนได้วางยุทธศาสตร์นี้ไว้ตั้งแต่ 14 ปีที่แล้ว แม้แต่เทสลาก็ยังต้องพึ่งพาแบตเตอรีจากจีน ส่วนประเทศไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรากำลังสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันลงเรื่อยๆ
เห็นข่าวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาที่มีคนจีนราว 200 กว่าคนรวมตัวประท้วงหน้าโชว์รูมจำหน่ายรถยนต์เทสลา เพื่อเรียกร้องขอเงินคืนและเครดิตชดเชย หลังจากที่ เทสลา อยู่ๆ ก็ลดราคาขายรถยนต์ไฟฟ้าลงเป็นครั้งที่สองในรอบ 3 เดือน
โดยครั้งนี้ เทสลา ประกาศผ่านหน้าเว็บไซต์ลดราคาขายรถยนต์ 2 รุ่น คือ รุ่นโมเดล 3 และ โมเดล Y ซึ่งโมเดล 3 ลดลงจาก 265,900 หยวน เหลือ 229,900 หยวน หรือลดลงราว 33,465 หยวน (คิดเป็นเงินไทยตกราวๆ 1.67 แสนบาท) ส่วนโมเดลวายลดลงจาก 288,900 หยวน เหลือ 259,900 หยวน หรือลดลง 29,000 หยวน (คิดเป็นเงินไทยตกราวๆ 1.45 แสนบาท)
แน่นอนว่าในมุมของลูกค้าที่เพิ่งซื้อรถเทสลาไปไม่นาน ก่อนที่บริษัทจะประกาศลดราคาลงระดับนี้ ย่อมต้องสร้างความไม่พอใจให้กับพวกเขาอยู่แล้ว เพราะเท่ากับจ่ายเงินค่าซื้อรถในราคาแพงเกินไป โดยผู้ประท้วงรายหนึ่งให้เหตุผลไว้อย่างน่าสนใจว่า “นี่อาจดูเป็นเรื่องปกติทางธุรกิจ แต่องค์กรที่มีความรับผิดชอบไม่ควรทำเช่นนี้”
อย่างไรก็ตาม หากย้อนมองในมุมของ เทสลา การงัดกลยุทธ์นี้ขึ้นมาใช้ อาจเพราะกำลัง ‘เข้าตาจน’ เนื่องจากเทสลาเพิ่งจะสูญเสียความเป็น ‘เบอร์หนึ่ง’ ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า(EV) ไปให้กับค่ายรถยนต์ของจีน และยอดขายรถยนต์เทสลาในจีนช่วงเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ก็ร่วงลงอย่างน่าใจหาย ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้ เทสลา ต้องจำใจลดราคาขายลงมา และอาจจะบีบให้ค่ายรถยนต์ EV รายอื่นๆ ในจีน ต้องปรับราคาลงตามด้วย ยิ่งช่วงเวลานี้ดีมานด์ในจีนกำลังอ่อนตัวลงอย่างชัดเจน
ว่าไปแล้วการเหวี่ยงตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำให้เกมของผู้เล่นรายใหญ่เปลี่ยนตามไปด้วย โดยในส่วนของตลาดรถยนต์สันดาป ผู้ผลิตเบอร์ใหญ่ของโลกอยู่ในกลุ่มประเทศญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐ แต่สำหรับรถยนต์ EV แล้ว ณ เวลานี้ ‘จีน’ ผงาดขึ้นมายืน ‘เบอร์หนึ่ง’ เป็นที่เรียบร้อย
...การขึ้นมายึดหัวหาดในตลาดรถยนต์ EV ของจีน ไม่ใช่เรื่อง ‘ฟลุก’ อย่างแน่นอน เพราะจีนได้วางยุทธศาสตร์นี้ไว้ตั้งแต่เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ย้อนกลับไปเมื่อปี 2552 รัฐบาลจีนอัดงบหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ EV โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแบตเตอรีรถยนต์ จนขึ้นมาเป็นเจ้าใหญ่สุดของโลกในปัจจุบัน แม้แต่ เทสลา เองยังต้องพึ่งพาแบตเตอรีจากจีน
ด้วยนโยบายสนับสนุนเชิงรุกจากรัฐบาลจีน บวกกับการวางแผนที่เตรียมการมาอย่างยาวนานร่วมสิบปี ทำให้จีนผงาดขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดรถยนต์ EV ได้สำเร็จ
...ย้อนกลับมาดูประเทศไทยบ้าง ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรากำลังสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันลงเรื่อยๆ เวลานี้จะเห็นว่าอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นยุคเก่าหรือยุคใหม่ จะยกเว้นก็เพียงอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เหลือต่างเบนเข็มปักหมุดลงทุนใน ‘เวียดนาม’ กันหมด แต่เรากลับมองเขาไม่ใช่คู่แข่งขัน ซึ่งประเด็นนี้เราเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกลับมามองแผนการพัฒนาประเทศในระยะยาวอย่างจริงๆ จังๆ กันอีกครั้ง
ที่สำคัญกว่านั้นคือ การขับเคลื่อนก็ต้องจริงจังด้วย ไม่ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ เหมือนที่ผ่านมา ไม่เช่นนั้นเราจะตกขบวนทุกการเติบโต ยิ่งเวลานี้บุญเก่าของเรากำลังหมดลงเรื่อยๆ