Lexus ES300h F Sport ขับสนุก นั่งสบาย ไปไหนไกลๆ ไม่เหนื่อย
หลายคนชอบการเดินทางด้วยรถยนต์ ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกมีอิสระ มีความคล่องตัว จะรีบก็ได้ จะกินลมชมวิวก็ได้ จะแวะที่ที่สนใจ หรือจะแวบก็ได้ ถ้าบังเอิญเพิ่งคิดออกว่า น่าจะลองไปตรงนั้นตรงนี้สักหน่อย วันนี้ ผมมีทริปยาวๆ กับ Lexus 300h F Sport มาพูดคุยกัน
สำหรับใครที่ชอบแบบนี้ หรือการเดินทางด้วยรถยนต์ สิ่งสำคัญคือ ต้องได้รถที่ขับแล้วไม่เหนื่อย จะเป็นรถหลักล้าน หรือ หลักแสนก็ตาม มีให้เลือกทั้งนั้น และเมื่อไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสเดินทางไปเชียงใหม่ ด้วย Lexus ES 300h F Sport เจ้าของค่าตัว 4.38 ล้านบาท
จริงๆ แล้ว ES 300h มีหลายรุ่นให้เลือก รุ่นเริ่มต้นอย่าง Luxury ราคาอยู่ที่ 3.625 ล้านบาท ซึ่งก็แตกต่างกันไปตามออปชั่น ซึ่งรวมถึงด้านเทคนิคบางรายการ เช่น ระบบช่วงล่าง ที่ตัวท็อป อย่าง F Sport ใช้ ช็อค แอบซอร์เบอร์ Adaptive Variable Suspension (AVS) ควบคุมด้วยไฟฟ้า ปรับการทำงานให้สอดคล้องกับการขับขี่ และสภาพเส้นทาง ช่วยให้ขับได้สนุก และผู้โดยสารก็นั่งสบาย ถือว่าเหมาะกับสภาพถนนเมืองไทย ที่มีความแตกต่างกัน และพื้นผิวที่หลากหลาย
พูดถึง ES ต้องบอกว่าเป็นยุคแรกของ เลกซัส เลยทีเดียว เพราะตั้งแต่โตโยต้า เปิดตัวแบรนด์ใหม่ ในสหรัฐ เมื่อปี 2532 รถในตระกูล ES ก็เกิดขึ้นในเวลานั้น ควบคู่กับรุ่นใหญ่อย่าง LS และทำตลาดมาอย่างต่อเนื่อง ถึงปัจจุบัน เป็นเจเนอเรชั่นที่ 7
Lexus ES เป็นซีดานขนาดกลาง ตลาดเดียวกับ Mercedes-Benz E-Class หรือว่า BMW 5 Series และในบ้านเรา ก็มีกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องของความเนี้ยบในรายละเอียดต่างๆ ทั้งภายนอก ภายใน แต่ขนาดตลาดยังห่างกันมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาของ Lexus สูงกว่าคู่แข่ง จากการเป็นรถนำเข้าที่มีภาระภาษีศุลกากรเป็นต้นทุนที่หนักเอาการอยู่
สำหรับการลอง ES 300h F Sport ครั้งนี้ ผมได้ลองทั้งเป็นผู้โดยสาร และลองขับ ช่วงแรกจากย่านบางนา กรุงเทพฯ ยาวไปถึงเมืองกำแพงเพชร ผมยึดเบาะหลังเพราะต้องนั่งพิมพ์งานไปด้วย ถือว่าสะดวกเลยทีเดียวพื้นที่กว้างขวาง อาจจะไม่ได้กว้างขวางมากจนเป็นจุดเด่น แต่ก็เพียงพอ ทั้งพื้นที่วางเท้า พื้นที่ว่างช่วงเข่า ขณะที่เบาะรองนั่ง และพนักพิงมีขนาดและองศาที่ดี นั่งนานๆ แล้วไม่เมื่อย
และแม้ช่วงนี้น้องที่ทำหน้าที่ขับขี่จะเมามันไม่น้อย แต่ผมก็สามารถจบงานได้ก่อนถึงเมืองกล้วยไข่ โดยไม่วิงเวียน แม้เส้นทางหลายจุดไม่เอื้อ เช่น คอสะพานที่ตัวถังรถลอยขึ้น และหล่นลงมา แต่การจัดการของช่วงล่างที่ช่วยให้รถไม่กระเด้งซ้ำซ้อนมากเกินไป ก็ช่วยได้มากสำหรับผู้โดยสาร
จากนั้นผมก็ลองขับบ้างจากกำแพงเพชรไปถึงใกล้ๆ ลำปาง เส้นทางหลากหลายทั้งทางราบ ทางเขา
ผมชอบจังหวะการเปลี่ยนความเร็วของ ES 300h จากการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ 2.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตร ที่ 3,600-5,200 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้า แรงบิด 202 นิวตันเมตร
ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ เมื่อรวมกันแล้วให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า และมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 8.9 วินาที
การมีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยให้การขับขี่ในสภาพเส้นทางที่รถหนาตา และทางโค้งทางเขา คล่องตัวมากขึ้น จากจังหวะที่ต้องเปลี่ยนความเร็วบ่อยครั้งเมื่อต้องการเร่งแซง เปลี่ยนเลน หรือเพิ่มความเร็วออกจากโค้งที่กระฉับกระเฉง หลังจากชะลอความเร็วก่อนเข้าโค้งนั่นเอง
นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ขับยาวๆ เดินทางไกลๆ แล้วไม่เหนื่อย เพราะไม่ต้องลุ้นเมื่อแซง และไม่รู้สึกท้อถอย หมดกำลังใจ เมื่อออกจากโค้งไม่ได้ดังใจ ย้ำว่าเร่งออกจากโค้งนะครับ ไม่ใช่เร่งในโค้ง
และแน่นอนจุดเด่นอีกสิ่งคือความเงียบในห้องโดยสาร ก็ช่วยให้เดินทางไกลๆ ได้สุนทรีย์มากขึ้น
ช่วงล่างช่วยให้ทรงตัวดี นิ่ง แม้ว่าจะใช้ความเร็วสูงก็ตาม การคุมรถไม่ต้องเกร็ง จับพวงมาลัยแบบหลวมๆ สบายๆ รู้สึกผ่อนคลาย และพวงมาลัยก็น้ำหนักดี แม่นยำ ช่วยให้เข้า-ออกโค้งได้ง่าย ไม่ว่าจะอยู่โหมดขับขี่แบบไหนก็ตาม (พวงมาลัยปรับตามโหมดการขับขี่่ที่มีให้เลือกคือ Eco, Normal, Sport และ Sport+)
ขณะที่ช่วงล่างก็รองรับการลัดเลาะไปตามเส้นทางโค้งทางเขาได้ดีเช่นกันแต่ผมว่า อีเอส ให้น้ำหนักกับความสบายมากกว่า เพราะตัวรถให้ความรู้สึกนุ่มชัดเจน การเข้า-ออกโค้งด้วยความเร็ว ยังรู้สึกถึงการให้ตัวของตัวถังเล็กน้อย แต่สร้างปัญหาไหม ไม่ครับ ยังสามารถขับสนุกกับเส้นทางนี้ได้ เพียงแต่ถ้าใครที่ชอบอารมณ์สปอร์ตจัดๆ จะรู้สึกว่ามันนุ่มไปสักนิด เท่านั้นเอง
แต่ถ้าโดยรวมๆ แล้ว รวมถึงออปชั่นต่างๆ การตกแแต่งภายนอกภายใน น่าใช้ ขับเองก็สนุก หรือเป็นผู้โดยสาร เป็นผู้บริหารก็นั่งสบาย และอัตราสิ้นเปลืองก็ทำได้ค่อนข้างดี เฉลี่ย 15 กม./ลิตร ครับ