Mitsubishi Xpander Cross อยากได้อารมณ์แรลลี ช่วงล่างใหม่จัดให้
Mitsubishi Xpander Cross ปรับโฉมใหม่ พร้อมปรับราคาเพิ่ม 7,000 บาท กับรูปทรงที่ดูสปอร์ต และพรีเมียมมากขึ้น รวมถึงเพิ่มออปชั่นและปรับรายละเอียดทางเทคนิคบางอย่าง ซึ่งการปรับเปลี่ยนในส่วนนี้ น่าส่วนใหญ่ทีเดียว
ปี 2561 มิตซูบิชิ เปิดตัว “Xpander” รถเอนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ขนาดเล็ก หรือ บี-เซ็กเมนต์ เปิดตัวได้อย่างร้อนแรง ความต้องการของลูกค้ามีมากกว่าจำนวนรถ ทำให้ต้องเร่งนำเข้าเพิ่มเติม แต่ก็ติดปัญหาที่หลายๆ ประเทศดันให้ความนิยมเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันรถรุ่นมียอดสะสมกว่า 4 แสนคัน ใน 30 ประเทศ
จากนั้นปี 2563 ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 มิตซูบิชิ เพิ่มทางเลือกด้วยรุ่น Mitsubishi Xpander Cross ซึ่งต่อยอดมาจาก เอ็กซ์แพนเดอร์ แต่ ทำใหห้ดูหรูขึ้น สปอร์ตขึ้น และมีความเป็นครอสโอเวรอ์ชัดเจนมากกว่า รองรับการใช้งานที่หลากหลายทั้งความสูงใต้ท้องรถที่เพิ่มขึ้น ล้อใหญ่ขึ้น มีราวหลังคามาให้ เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ลูกค้า
และเมื่อไม่นานมานี้ มิตซูบิชิ ขยับปรับโฉม เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เติมความสดใหม่เข้าไป เพิ่มความพรีเมียม และสปอร์ต ซึ่งมิตซูบิชิบอกว่าภายนอกเรียกว่าเป็นการปรับใหญ่ก็ได้ เพราะเปลี่ยนแปลงหลายอย่างรอบคัน
เช่น ด้านหน้าออกแบบแบบ Advanced Dynamic Shield ระบบไฟแอลอีดี ยกชุดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยไฟเบรกดวงที่ 3 ขยับให้สูงขึ้นเพื่อการมองเห็นที่ชัดเจนขึ้น ยางมีขนาดใหญ่ขึ้น ปรับซุ้มล้อใหม่ให้ลงตัวมากขึ้น และมีผลทำให้ความกว้างโดยรวมของรถลดลง 1 ซม. แต่ความยาวเพิ่มขึ้น 9.5 ซม. เป็นต้น
รวมถึงเพิ่มระบบเปิด-ปิด ไฟหน้า และที่ปัดน้ำฝน อัตโนมัติ ปรับภายในให้ดูพรีเมียมขึ้น
ส่วนในด้านเทคนิคมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนหลักๆ คือ การติตตั้งระบบความปลอดภัยใหม่ “เอวายซี” (Active Yaw Control: AYC) และปรับช่วงล่างด้านหลัง เซ็ทค่าสปริงใหม่ และเพิ่มขนาดช็อค แอบซอร์เบอร์ให้ใหญ่ขึ้นเท่ากับรุ่นพี่อย่างปาเจโร่ สปอร์ต
แต่ว่าเป็นคนละตัวกันนะครับ และมาพร้อมกับเกียร์ ซีวีที รวมถึงระบบระบายความร้อนของน้ำมันเกียร์ รองรับการใช้งานหนัก เช่นการขับขี่บนทางเขา
ว่าแล้วก็ไปลองขับกันครับ ซึ่งวันนี้เราจะลองแบบหลากหลายเส้นทางทั้งทางราบ ทางบนภูเขา เริ่มจากตัวเมืองเชียงรายมุ่งหน้าไปทางแม่สรวย ขึ้นดอยช้าง และลงทางห้วยส้าน ย้อนกลับมาที่สิงห์ปาร์ค ก่อนไปหาเส้นทางวิบากให้ลุยกัน
จากเชียงรายไปถึงดอยช้าง ผมลองเป็นผู้โดยสารเบาะหลัง แถว 2 (รถมี 3 แถว 7 ที่นั่ง) ตัวเบาะอาจจะสั้นไปนิด แต่พื้นที่วางเท้า พื้นที่ว่างช่วงเข่ามีเพียงพอ และมีช่องแอร์ที่เพดานช่วยกระจายความเย็น ซึ่งเอ็กซ์แพนเดอร์นั้นมีตู้แอร์ 2 ตู้แยกส่วนหน้า/หลังนะครับ
แต่ที่ชอบในมุมของการเป็นผู้โดยสารก็คือ การโยนตัวของรถมีน้อย ตัวถังไม่ย้วย แม้ว่าระยะใต้ท้องรถจะสูงถึง 22 ซม. ก็ตาม ทำให้การนั่งในเส้นทางที่เต็มไปด้วยโค้ง โดยเฉพาะช่วงขึ้นดอยช้างไม่สร้างปัญหาอะไร ไม่มึน พูดคุยได้ปกติ
จากนั้นผมขับจากดอยช้างไปทางห้วยส้าน ซึ่งมีทั้งทางลงเนินชันๆ ทางขึ้นเนินชันๆ และที่สำคัญเป็นทางคดโค้ง เล็กๆ บางช่วงไม่มีไม่เส้นแบ่งช่องจราจร เวลาสวนทางกันกระจกแทบจะชนกัน และแน่นอนไม่มีไหล่ทาง
ซึ่งตรงนี้หมายความว่ารถต้องมีความแม่นยำ ทั้งการควบคุมรถ และช่วงล่าง เพราะไม่มีพื้นที่ให้พลาด ทั้งด้านซ้าย และด้านขวาของรถ
ผมชอบนะ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส สอบผ่านเส้นทางนี้สบายๆ ดีกว่าที่คิดไว้ จังหวะไหลเข้าโค้งแคบๆ ทำได้เนียน หน้ารถแม่นยำ และจิกโค้งได้ดี แม้จะเป็นทางเล็กๆ แต่ขับไม่เหนื่อยกับมันครับ
และเมื่อออกสู่ถนนใหญ่ ได้ลองขับที่ความเร็วเพิ่มขึ้น อาการของรถในโค้งก็เนียนๆ แม่นยำ เข้าออกจากโค้งได้เร็ว ไม่เหวอ มันเหมาะกับการเดินทาง โดยเฉพาะเส้นทางที่ต้องผ่านป่าผ่านดง ที่ไม่ทำให้คนขับเหนื่อย
ส่วนการตอบสนองของเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 105 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตร อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ ไม่ร้อนแรงนัก การออกตัวไม่กระฉับกระเฉงมาก แต่ก็ไม่ได้อืดอาด แต่มื่อความเร็วขึ้นไปถึงระดับประมาณ 80 ก็สามารถไหลต่อไปได้ ความเร็วขึ้นสูงได้แบบเนียนๆ
การไต่ขึ้นเนินชันๆ กับ คน 3 คน พร้อมสัมภาระ ก็ขึ้นได้ครับ มีจังหวะเค้นกำลังเครื่องยนต์บ้าง แต่ก็ไปไหว เช่นเดียวกับจังหวะเร่งแซง กำลังเครื่องยนต์มีพอประมาณ คือแซงได้ เมื่อกดคันเร่งแล้วกำลังละความเร็วมาต่อเนื่อง แต่ก็ต้องอาศัยจังหวะที่เหมาะสมเช่นกัน ต้องให้เห็นรถที่สวนทางมาชัดเจน และมีระยะพอควร
โดยสรุปกับเส้นทางแบบนี้ เครื่องยนต์อยู่ในระดับที่พอใช้ แต่จุดเด่นคือ การควบคุมรถ ความแม่นยำ การยึดเกาะถนน และการทรงตัวที่ดี เรียกว่าดีกว่าที่คิดครับ
ในเส้นทางวิบาก มีทั้งทั้งทางดิน ทางหิน ทางลูกรัง เป็นร่อง เป็นคลื่น เป็นหลุมเป็นบ่อ และเนิน ซึ่งครั้งนี้มิตซูบิชิจัดเต็ม คือไม่ได้ให้ขับแค่ดูว่า ช่วงล่าง ความสูงใต้ท้องรถจะผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้หรือไม่เท่านั้น แต่ให้ลองขับใช้ความเร็วพอควร โดยแนะนำว่าประมาณ 60 กม./ชม.
แต่เมื่อขับจริงๆ ไม่มีใครมานั่งคุมนี่ครับ เพราะฉะนั้นความเร็วที่ใช้จึงไปตามความรู้สึก หมายถึงความรู้สึกว่ารถไปได้แค่ไหนกับทางที่ลื่นๆ แบบนี้ ซึ่งที่ผมลองสูงสุดก็น่าจะประมาณ 85 กม./ชม.
เส้นทางแบบนี้ต้องชมช่วงล่างอีกครั้ง เพราะมันดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีเลย จังหวะกระแทกกระทั้นน้อย แม้แต่ ช่วงที่เป็นหลุมหรือเนิน ก็รูดผ่านไปได้เลย โดยไม่ต้องเบรกแล้วค่อยๆ หยอดลงไป เรียกว่าอารมณ์น้องๆ แรลลีได้เหมือนกัน
จุดเด่นของการขับเส้นทางแบบนี้คือ หน้ารถที่คม จิกเส้นทางได้ดี แม้จะเป็นทางลื่นๆ ก็ตาม ดังนั้นเมื่อล้อหน้าคุมทิศทางได้ ล้อหลังจะสไลด์บ้างตามแรงเหวี่ยง และความลื่นก็ตาม แต่ท้ายที่สุดล้อหน้าที่คุมทิศทางไว้ได้ ก็ดึงรถทั้งคันกลับเข้าสู่ระเบียบ โดยผู้ขับก็แค่แก้พวงมาลัยเล็กน้อยเท่านั้น
บอกตรงๆ ชอบครับ กับการขับเส้นทางแบบนี้ สนุก
และอย่างที่บอกไปว่า เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส นั้นมี “เอวายซี” ติดตั้งมาให้ เป็นระบบที่ช่วยป้องกันการลื่นไถล โดยมีเซ็นเซอร์อยู่ที่ล้อทั้ง 4 เมื่อตรวจพบการหมุนที่ผิดปกติ และรถเกิดอาการอันเดอร์สเตียร์ หรือพูดง่ายๆ เลี้ยวไม่เข้า ทำท่าจะแหกโค้ง มันจะส่งแรงเบรกไปที่ล้อด้านใน เพื่อดึงให้รถกลับเข้าสู่เส้นทาง
ระบบนี้เหมาะกับการขับขี่ในทางลื่นๆ เช่น ทางแบบนี้ หรือช่วงฝนตก โดยการทำงานจะมีมาตรวัดที่หน้าจอบ่งบอกว่า เอวายซี ทำงานแค่ไหน
ซึ่งในเส้นทางนี้เราก็พยายามลองดูกัน แต่ก็ยังไม่เห็นการทำงานมากนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะครับ แต่เป็นเพราะอย่างที่ผมบอกไปนั่นแหละ ว่าหน้ารถมันค่อนข้างคม จึงจัดการกับรถได้ โดยไม่ต้องไปรบกวน เอวายซี
และไหนๆ ก็ลองเส้นทางนี้แล้ว ก็ลองระบบแทรคชั่น คอนโทรล กันสักหน่อย ด้วยการปีนเนินชันลื่นๆ ดูสิว่ารถขับเคลื่อน 2 ล้อ หน้าจะไหวไหม ซึ่งก็ผ่านได้ไม่ยาก รถกระจายกำลังได้แม่นยำ และรวดเร็ว ถ้ายืนดูด้านนอกจะเห็นว่าเมื่อล้อหนึ่งเริ่มหมุนฟรี มันจะถูกตัดกำลังลงอย่างรวดเร็ว และส่งกำลังไปอีกล้อหนึ่งทันที
ถึงตรงนี้ต้องบอกว่ารถคันนี้กับค่าตัว 9.46 แสนบาท ไม่ธรรมดา ทำงานได้ดีทั้งทางเรียบและทางนอกถนนแบบนี้ เพราะไม่ใช่แค่ผ่านอุปสรรคไปได้เท่านั้น แต่ยังเติมความสนุก และอารมณ์สปอร์ตให้ผู้ขับได้อีกด้วยครับ