Honda CR-V อยากได้อารมณ์สปอร์ต ขับสนุก ต้อง e:HEV
ได้รับการตอบรับที่ดีทีเดียวสำหรับ Honda CR-V (ฮอนด้า ซีอาร์-วี) เจนเนอเรชั่น 6 ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยแค่ 7 วัน ยอดจองทะลุ 2,000 คันไปแล้ว และในจำนวนนี้ เป็นรุ่นไฮบริด หรือ e:HEV 80%
การที่ 7 วันแรก Honda CR-V (ฮอนด้า ซีอาร์-วี) มียอดจองรุ่น e:HEV เป็นหลักนั้น จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องปกติของรถรุ่นใหม่ๆ ที่ช่วงแรกๆ มักจะมียอดจองของตัวท็อป หรือตัวบนๆ ก่อน
เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อรถจริงจัง ซื้อทันที และมีกำลังซื้อ ก่อนที่ต่อมาจะเป็นกลุ่มที่ยังอยู่ระหว่างการตัดสินใจ เช่น อาจจะยังไม่ได้จำเป็นถึงขีดสุดที่จะต้องซื้อรถใหม่
แต่สำหรับซีอาร์-วี เจนฯ นี้ ผมเห็นด้วยถ้าใครที่มีกำลังซื้อเพียงพอ จะหันไปเล่นตัว e:HEV ซึ่งมี 2 รุ่นย่อยคือ
- ES ราคา 1.598 ล้านบาท
- RS 1.729 ล้านบาท
ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ มี 3 รุ่นย่อย คือ
- E ราคา 1.419 ล้านบาท
- ES 4WD 1.599 ล้านบาท
- EL 4WD 1.649 ล้านบาท
ยกเว้นคนที่ต้องการรถแบบ 7 ที่นั่ง คงต้องหันหลังให้ e:HEV เพราะหาได้ในรุ่น 1.5 เทอร์โบ EL 4WD เท่านั้น
ที่ผมยุให้ซื้อ e:HEV เพราะชอบในเรื่องของการขับขี่ โดยเฉพาะการควบคุมรถโดยรวม แต่ต้องบอกก่อนว่ารุ่นที่ผมลองสำหรับ e:HEV คือ ตัว RS ที่ใช้ยางขนาด 235/55 R19 แตกต่างจากรุ่น ES ที่ใช้ยาง 235/60 R18 แต่ส่วนอื่นๆ ในด้านเทคนิคนั้นเหมือนกัน
ขณะที่รุ่น 1.5 เทอร์โบ ที่ลองขับเป็นตัวท็อป EL 4WD ใช้ยาง 235/60 R18
เส้นทางที่ลองขับในพื้นที่เชียงใหม่ที่กำลังเผชิญปัญหาฝุ่นละอองอย่างหนัก มีทั้งทางในเมือง ทางหลวงระหว่างเมือง และเส้นทางภูเขา
เรียกว่ามีความหลากหลาย และท้าทายหลายจุด โดยเฉพาะกับทางโค้งแคบๆ หรือทางภูเขาที่มีรถต่อกันยาวเหยียด ทำให้ต้องหาจังหวะเร่งแซง
เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ที่ยกมาจาก ซีวิค และแอคคอร์ด แต่ปรับจูนใหม่ให้เหมาะสม มีคำถามว่ามันรองรับกับรถที่มีขนาดใหญ่กว่าหรือไม่
คำตอบคือได้ครับ การใช้งานทั่วไปไม่มีปัญหา การออกตัว การเพิ่มความเร็ว การเร่งแซง
เพียงพอกับการใช้งาน แต่ช่วงออกตัว หรือช่วงที่ต้องการกำลังแบบเต็มที่ด้วยการกดคันเร่งหนักๆ หรือ คิกดาวน์ จะมีอาการเค้นกำลังเครื่องยนต์อยู่บ้าง แต่ช่วงไต่ความเร็วจากความระดับกลางๆ 60-80 กม./ชม. ทำได้ลื่นไหล
แต่ถ้าเทียบกับ e:HEV การตอบสนองของไฮบริดทำได้เนียนกว่า ไหลลื่นกว่า และเรียกกำลังมาได้เร็วกว่า การแซงรถบนเขารวดเดียวสามสี่คัน ทำได้ไม่ยาก แต่ย้ำว่าต้องมองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจนและไกลพอนะครับ อย่าพยายามแซงในจุดที่อับสายตา
และจุดเด่นของ e:HEV ที่ชัดเจนกว่า คือ จังหวะการขับขี่ขึ้นเนินที่คุณสมบัติเด่นของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้แรงบิดสูง ทำให้สามารถเพิ่มความเร็วได้ลื่นไหลกว่า ไม่มีจังหวะหน่วง รวมถึงจังหวะออกจากโค้งที่เร็วกว่า ทำให้รู้สึกว่าการขับขี่มันคล่องแคล่ว และผ่อนคลายมากกว่า
แต่ถ้าในภาพรวม 1.5 เทอร์โบ ก็ทำได้ดี แต่ว่าสู้ e:HEV ไม่ได้เท่านั้นเอง
ขณะที่การควบคุมรถ ทั้ง 2 รุ่น นิ่งพอกันบนเส้นทางปกติทั่วไป ใช้ความเร็วได้ ไม่เหนื่อย การคุมรถก็แค่จับพวงมาลัยหลวมๆ ผ่อนคลายเท่านั้น
เมื่อขับขี่ในเส้นทางภูเขา 1.5 เทอร์โบ ก็ทำได้น่าพอใจกับการขับขี่ในโค้ง กับความเร็วพอควร รถยังอยู่ในร่องในรอย แม้จะมีอาการยางทะเลาะกับถนนบ้างก็ตาม แต่ก็ยังสามารถควบคุมได้
แต่สิ่งที่รู้สึกได้คือ การโยนตัวของตัวถัง ซึ่งอาจทำให้รู้สึกหลอกผู้ขับอยู่บ้าง และที่รู้สึกมากกว่าคือผู้โดยสารที่คงไม่ชอบกับอาการแบบนี้มากนัก เพราะจะทำให้มึนหัวได้
แต่ย้ำว่านี่เป็นการลองขับที่อาจจะใช้ความเร็วมากกว่ารถบนท้องถนนทั่วไป แต่ขับแบบปกติทั่วไป ก็คงไม่มีปัญหาอะไร
แต่ในเส้นทางแบบนี้ ผลักดันให้ e:HEV โดดเด่น ความแม่นยำของพวงมาลัย การทรงตัวของตัวถังที่การโยนตัวน้อย สามารถเข้าโค้งได้นิ่ง ออกโค้งได้เร็ว ตัวรถมีความเสถียรสูง แม้จะเป็นรถแนวเอสยูวี ที่มีความสูงของตัวรถ และความสูงใต้ท้องรถ มากกว่ารถยนต์นั่งอยู่มากก็ตาม
ต้องยอมรับว่า ทำออกมาได้ดี และดีที่สุดในบรรดาซีอาร์-วี ด้วยกัน และดีกว่ารถยนต์นั่งหลายๆ รุ่น
ในด้านของช่วงล่างโดยรวมของ 1.5 เทอร์โบ กับ e:HEV ฮอนด้าระบุว่าเหมือนกัน แต่เซ็ตให้แตกต่างกัน รองรับนำหนักที่ต่างกัน โดย e:HEV ที่แบกแบตเตอรี กับมอเตอร์เข้ามา ทำให้มีน้ำหนักมากกว่าประมาณ 75 กก.นอกจากนี้ยังมีผลทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำกว่า
รวมถึงฝาครอบ IPU หรือ Intelligent Power Unit ที่ยึดติดกับโครงสร้างตัวถัง ก็มีผลทำให้ความแน่นของโครงสร้างตัวถังเพิ่มขึ้น มีผลต่กการทรงตัวของรถอีกทางหนึ่ง
ช่วยเติมอารมณ์ให้รถคันนี้ มากกว่าแค่การเดินทาง แต่เป็นรถที่ขับได้สนุกกับเส้นทางแบบนี้ด้วย
สำหรับรูปแบบการส่งกำลังของรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยปกติ ระบบจะส่งกำลังไปล้อหน้า 60% หลัง 40% แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือสามารถปรับการส่งกำลังแบบ 50:50 ได้ เพื่อให้การขับขี่ การทรงตัวของรถในภาวะเส้นทางลื่น หรือ ขับในเส้นทางนอกถนน ทางเปียก ทางโคลน ได้ดีขึ้น
เกียร์ในรุ่น 1.5 เทอร์โบ เป็น ซีวีที ส่วน e:HEV เป็น อี ซีวีที และทั้ง 2 รุ่นมีโหมดขับขี่ให้เลือกทั้ง อีโค นอร์มอล และสปอร์ต โดย 1.5 เทอร์โบ ถ้าเลือก อีโค ใช้การกดปุ่ม ถ้าต้องการสปอร์ต เลื่อนคันเกียร์ไปที่ S
แต่ถ้า e:HEV มีปุ่มควบคุมให้เลือกทั้ง 3 โหมด และที่คันเกียร์ยังมีโหมด B ให้เลือกใช้ สามารถเพิ่มความหน่วงในจังหวะการลงเนิน เพื่อความปลอดภัย และชาร์จไฟกลับเข้าไปในแบตเตอรีได้อีกทาง
ถ้าให้สรุป นอกจากเนื่องของจำนวนที่นั่ง ถ้าพูดถึงอารมณ์รถ ใครที่ชอบรถที่ขับสบายๆ นุ่มนวลในเส้นทางต่างๆ 1.5 เทอร์โบ ตอบสนองได้ดีพอ แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบขับรถ สนุกกับการขับรถ และพร้อมจ่ายเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง ไปที่ e:HEV ครับ
ทีนี้มาดูในเรื่องของโครงสร้างตัวถัง ออปชั่นกันบ้าง
ซีอาร์-วี ใหม่ มีขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้นในทุกมิติ
- ความยาวเพิ่มขึ้น 8.1 ซม.
- ฐานล้อยาวขึ้น 3.8 ซม.
- ขณะที่ความกว้างเพิ่มขึ้น 1.1 ซม.
ซึ่งมิติที่เพิ่มขึ้น ก็มีผลต่อห้องโดยสาร และการทรงตัวของรถอยู่ด้วยเช่นกัน
ห้องโดยสาร โดยรวมกว้างขวาง นั่งสบาย มีทัศนวิสัยที่ดีในทุกด้าน ทั้งด้านหน้า ข้าง หรือว่าด้านหลัง และยิ่งเป็นรุ่นที่มี ซันรูฟ ก็ยิ่งทำให้ดูโปร่งโล่งมากขึ้น
เบาะนั่งคู่หน้า ออกแนวสปอร์ต หนา นุ่ม แต่โอบกระชับลำตัว ช่วยได้ดีในการขับขี่เส้นทางภูเขา ขณะที่เบาะนั่งแถว 2 มีพื้นที่กว้างขวาง นั่ง 3 คนได้สบาย แต่ถ้านั่ง 2 ยิ่งสบายเข้าไปใหญ่ และสามารถดึงพนักพิงลงมาเป็นที่พักแขน และวางแก้วได้
พื้นที่ช่วงเขา พื้นที่วางเท้า และพื้นที่เหนือศีรษะ มีเหลือเฟือ
ในรุ่น 7 ที่นั่ง เมื่อจะเข้าไปเบาะแถว 3 ใช้วิธีควบคุมเบาะแถว 2 แบบปุ่มเดียว โดยจะโยกพนักพิงมาด้านหน้าพร้อมกับเลื่อนตัวเบาะรองนั่งไปด้านหน้าในเวลาเดียวกัน แต่การเข้า-ออก เบาะแถว 3 ก็ยังคงต้องมุดๆ เข้าไปบ้าง อาจจะไม่เหมาะกับผู้สูงวัย หรือหลังไหล่ไม่ค่อยดี
เบาะนั่งแถว 3 ถือว่ามีความกว้างใช้ได้ ผู้ใหญ่นั่งได้ ไม่อึดอัดช่วงบน แต่ช่วงล่าง เข่าจะชันขึ้นมาพอควร แต่ก็ยังมีพื้นที่วางเท้าได้โดยไม่ติดกับเบาะด้านหน้า
ประเมินแล้ว ผู้ใหญ่ที่ไม่ได้ตัวใหญ่เกินไป นั่งได้ครับ เพียงแต่หากต้องเดินทางไกล ก็ควรจะจอดเป็นระยะ เพื่อยืดเส้นยืดสาย หรือ สลับเบาะกันนั่งบ้างเท่านั้น
เบาะแถวที่ 3 มีช่องแอร์ที่ใช้คอยล์เย็นแยกต่างหากออกมา ช่วงแอร์อยู่บนหลังคาด้านข้าง เพื่อกระจายความเย็นได้ทั่วถึงมากขึ้น แต่ตำแหน่งช่องแอร์อาจสร้างปัญหากับผู้นั่งแถว 2 บ้าง เพราะทิศทางลมเป่าลงบนศีรษะ
ซึ่งการที่วางตำหน่งไว้แบบนั้น เพราะวิศวกรผู้ออกแบบภายใน ไม่ต้องการให้ช่องแอร์อยู่บริเวณตรงกลาง เพราะโครงสร้างหลังคาจะต้องกดต่ำลงมา ทำให้ผู้นั่งแถว 3 ซึ่งอยู่สูงกว่าเบาะอื่นๆ อยู่แล้ว มีทัศวิสัยด้านหน้าไม่ดี ไม่ปรอดโปร่ง อึดอัด จึงเลือกลากท่อไปทางด้านข้างแทน
เรียกว่าได้อย่างเสียอย่าง ไปลองนั่งดูกันครับ หากคิดว่าจะเป็นปัญหาในการใช้งานได้
ส่วนออปชั่นหลักๆ ก็ให้มาเยอะทั้งด้านความสะดวกสบาย รวมถึงระบบความปลอดภัย ฮอนด้า เซ็นส์ซิ่ง ที่ให้มาในทุกรุ่นย่อย
รวมถึงลูกเล่นอย่างระบบเปิด-ปิด ฝาท้าย ด้วยไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี และระบบปิดอัตโนมัติ เมื่อกุญแจอยู่ห่างจากตัวรถโดยอัตโนมัติ ที่มีมาให้ในทุกรุ่นย่อยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังเพิ่มเทคโนโลยีความปลอดภัย เช่น
- ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS)
- เซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด
- ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC)
- ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL)
ออปชั่นอื่นๆ ก็เช่น ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ Honda Smart Key Card ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ (Driver Memory Seat) ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร (Ambient Light)
ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-up Display: HUD) ก็ใส่เข้ามาใหม่ให้กับ e:HEV ระบบเครื่องเสียง BOSE พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย
ส่วนรุ่น RS ที่มีเป็นครั้งแรกสำหรับ ซีอาร์-วี มีการตกแต่งพิเศษ เช่น
- ติดตั้งสัญลักษณ์ RS บนกระจังหน้า
- กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวสีดำ เปียโน แบล็ค
- กันชนหน้าและหลังสีเดียวกับตัวรถ
- คิ้วตกแต่างประตูด้านข้างสีดำ Gloss Black
- ไฟตัดหมอกหลัง แอลอีดี
- สปอยเลอร์หลังเสียเดียวกับตัวรถ และสีดำ เปียโน แบล็ค
- เสาอากาศครีบฉลามสีดำ เปียโน แบล็ค
- ล้ออัลลอย 19 นิ้ว แบบสปอร์ต
- ภายในแต่งด้วยลายอะลูมิเนียมปัดเงา และสีดำเปียโน แบล็ค
- เบาะหนังสีดำ ด้ายสีแดง
- พวงมาลัยสีดำเดินด้ายสีแดง แป้นคันเร่ง และแป้นเบรกแบบสปอร์ต