‘Neta S’ EV ตัวแรง อารมณ์สปอร์ตมาเต็ม ช่วงล่างนิ่งเกินคาด
หลายคนอยากให้ เนต้า เปิดตลาด Neta S รถซีดาน 4 ประตู ทรงสปอร์ตที่เคยนำมาโชว์ในเมืองไทย จากรูปทรงที่โฉบเฉี่ยว การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ละดูดีทั้งภายนอกภายใน รวมถึงรายละเอียดในสมรรถนะ และหากใครได้ลอง ก็น่าจะยิ่งชอบเพิ่มมากขึ้น
ความชอบของผู้ที่ได้ลองสัมผัส Neta S จะเพิ่มยิ่งขึ้นหากว่า ทำระดับราคาได้น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้รับการยืนยันจากเนต้าว่าจะทำตลาดหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ การเอารถเข้ามาจัดแสดงให้ลูกค้าได้ดู ก็เป็นการสื่อให้ลูกค้าได้เห็นว่า บริษัทที่เกิดจากธุรกิจสตาร์ทอัพ ทำอะไรได้บ้าง ไม่ใช่แค่ ซิตี้ อย่าง Neta V ที่ทำตลาดในขณะนี้ และมีการตอบรับที่ดีไม่น้อย โดยช่วงเดือน ม.ค.-พ.ค. ปีนี้ มียอดจดทะเบียนแล้ว 3,752 คัน อยู่ในอันดับที่ 2 รองจาก BYD Atto3
เมื่อเร็วๆ นี้ผมมีโอกาสได้ลองขับ Neta S คันที่เอามาโชว์ในบ้านเรานั่นแหละครับ เป็นรถที่ยืมมาจากบริษัทแม่เมืองจีน ก่อนส่งคืนก็พาไปสัมผัสกับผิวแทรคที่สนามปทุมธานี สปีดเวย์กันสักหน่อย
Neta S นั้น ผลิตออกมา 2 เวอร์ชั่น คือ Lidar Vesion เวอร์ชั่นนี้ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ใส่เทคโนโลยีช่วยขับ หรือ Autonomuos Driving Technology เข้าไป ด้วย NETA Pilot 4.0 ซึ่งเทียบเท่าระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ Autonomous Driving L4 มีระบบช่วยขับขี่ในเมือง และประตูทั้ง 4 บาน เปิดแบบปกติ
ส่วน Sport Version ซึ่งเป็นคันที่ลองขับ เน้นสมรรถนะการขับขี่ ไม่ต้องมีเทคโนโลยีช่วยขับมากเท่า Lidar Version โดยใช้
NETA Pilot 3.0 และสิ่งสังเกตภายนอกคือ ประตูคู่หน้า แบบปีกนกควบคุมด้วยไฟฟ้า
NETA S เป็นรถที่มีขนาดห้องโดยสารกว้างขวาง และดูหรูเลยทีเดียว นั่ง 4 คน สบาย เพิ่มเป็น 5 คน ก็ไม่เบียดกัน ส่วนมิติตัวถังภายนอก
- ความยาว 4,980 มม.
- ความกว้าง 1,980 มม.
- ความสูง 1,450 มม.
ตัวรถค่อนข้างยาว กว้าง แต่เตี้ย ตามสไตล์การออกแบบให้ดูสปอร์ต ส่วนระยะฐานล้อ 2,980 มม.
ไฟหน้า ไฟท้าย LED ไฟเลี้ยว LED แบบ Sequential เพิ่มความหรูและโปร่งโล่งด้วยพาโนรามิค ซันรูฟ ขนาดใหญ่ 1.9 ตร.ม. ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว
ภายในห้องโดยสาร จอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 13.3 นิ้ว จอ Infotainment ตรงกลาง แบบ Ultra thin ขนาดใหญ่โต 17.6 นิ้ว และมีหน้าจอสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าขนาด 12.3 นิ้ว และยังระบบแสดงข้อมูลที่กระจกหน้า (AR-HUD : augmented reality head-up display system"
Neta S ใช้ชิปประมวลผล Snapdragon Chip เจเนอเรชั่นที่ 3 รองรับการสื่อสารสัญญาณ 5G ระบบสั่งการด้วยเสียงที่ตอบสนองภายใน 1.8 วินาที แต่อย่างที่บอกคันนี้เป็นจากจีน ถ้าอยากสั่งด้วยเสียง ก็ต้องส่งภาษาจีนเท่านั้น ซึ่งจากการลองคุยกันสองสามคำสั่ง ถือว่ามันทำความเข้าใจกับเสียงคนไทยและตอบสนองได้เร็วทีเดียว
ลำโพง 21 ดอก ระบบเสียงรอบทิศทางที่เนต้าบอกว่ามากว่า 360 องศา แต่มันเป็น 720 องศา ระบบประมวลผล Huawei MDC610 High performance Computing Platfor
มีระบบช่วยเหลือการขับขี่เมื่อความเร็วสูง ระบบจดจำที่จอดรถ ระบบเรียกรถอัตโนมัติ ติดตั้งกล้องรอบคัน 11 ตำแหน่ง เรดาร์แบบ Millimeter wave radar 5 จุด และ เรดาร์แบบอัลตราโซนิค 12 จุด ส่วน Lidar ไม่มีในเวอร์ชั่นนี้ แต่ติดตั้งใน Lidar Version ขับเคลื่อน 2 ล้อหลังครับ
Sport Version มีสมรรถนะที่สูงกว่า และใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ โดดเด่นกับแรงบิดขนาด 620 นิวตัน-เมตร ส่งผลให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. รวดเร็วทันใจ 3.9 วินาที เมื่อออกตัวด้วยโหมดสปอร์ต ซึ่งสร้างแรงฉุดกระชากมหาศาล ถ้าใครร่างกายไม่แข็งแรงนี่มีมึน มีวูบได้ง่ายๆ
สิ่งที่ผมชอบอย่างหนึ่ง คือ การเซ็ทการจ่ายกำลัง เซ็ทช่วงล่างทำได้ดี สำหรับการลองอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง กดคันเร่งลงไปเต็มที่ รถพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วหน้าเชิดเล็กน้อย พร้อมกับเสียงยางดังลั่นช่วงสั้นๆ แต่สิ่งที่รู้สึกได้ก็คือ การทรงตัวของรถที่นิ่งไม่มีจังหวะร่อน ส่ายให้รู้สึก
แม้ว่าในชีวิตจริงจะไม่ได้ใช้การออกตัวแบบนี้ แต่การที่ได้ลองแบบนี้ ทำให้ได้รู้การเซ็ทรถมาไม่ธรรมดา
และจังหวะการขับขี่ในช่วงอื่นๆ ของสนาม ที่ต้องใช้แรงบิดเรียกอัตราเร่งแบบไม่ใช่จากจุดหยุดนิ่ง ซึ่งใกล้เคียงกับการใช้งานจริง ก็ช่วยตอกย้ำจุดนี้ได้ดี เช่น จังหวะการออกจากโค้ง เมื่อเติมคันเร่งเข้าไป รถทรงตัวได้ดี ช่วยใหัคุมง่าย และการเรียกกำลังมาได้เร็วก็ช่วยให้ขับได้สนุกออกจากโค้งได้รวดเร็ว
ในช่วงการลองขับแบบสลาลอม ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ความโดดเด่นของแรงบิดทำงานได้ดี ช่วยให้รถเคลื่อนที่ซิกแซกผ่านกรวยได้รวดเร็ว ขณะที่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่แม่นยำ ก็ช่วยให้รถรักษาเส้นทางได้ดี ขับได้ชิดกรวย แม้จะรู้สึกได้ว่าตัวรถค่อนข้างหนักที่พยายามจะดึงรถออกตามแรงเหวี่ยงบ้างก็ตาม รวมถึงการให้ตัวของตัวถังที่มีอยู่บ้างก็ตาม
แต่แน่นอนทุกอย่างก็มีลิมิตของมัน อย่างเช่นในช่วงโค้งแคบๆ ซึ่งขับปกติ หรือเกินปกติไปบ้างก็ยังคุมรถในเส้นทางได้ชนิดรู้สึกได้ถึงแรง G แต่เมื่อลองเติมความเร็วเข้าไปมากยิ่งขึ้น ก็จะบานออกไปทั้งคัน
แต่ย้ำว่านั่นเป็นการลองในสนามที่มีพื้นที่กว้าง และปลอดภัยหากรถจะหลุดออกไปให้แก้อาการ และก็ย้ำกว่าเป็นความเร็วที่ค่อนข้างสูงมาก สำหรับทางโค้งแบบนั้น
อีกช่วงหนึ่งที่รีดสมรรถนะของรถออกมาได้ดี คือ การขับแบบ lane change เป็นการเปลี่ยนเลนกะทมันหัน 2 จังหวะ โยกออกมา แล้วโยกกลับไปเลนเดิม โดยไม่ต้องเหยียบเบรก อาการของรถอยู่ในเกณฑ์ดีเลยครับ
ส่วนการทำความเร็ว สบายๆ ระยะทางของสนามไม่ไกลนัก แต่ด้วยแรงม้าแรงบิดที่สูง และไม่ต้องรอรอบ เผลอแป๊บเดียว 140-150 กม./ชม.ไปแล้ว
เมื่อเพิ่มความเร็วได้ แล้วลดความเร็วเป็นอย่างไร ผมลองกดหนักๆ จากความเร็วประมาณ 110 กม./ชม. จนหยุดนิ่งชนิดเสียงยางลั่นสนาม ทำได้ดีกว่าที่คิด รถนิ่ง และรักษาระนาบรถได้ดี มีอาการหน้ายุบเล็กน้อยเท่านั้น
โดยรวมแล้วถ้าพูดถึงการขับขี่ น่าสนใจเลยครับคันนี้ ขับได้สนุก ทรงตัวดี ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ได้ดี แต่ถ้าถามว่าอยากได้อะไรเพิ่มอีกไหม หนึ่งคือพวงมาลัยเพิ่มน้ำหนักอีกนิด และความแม่นยำที่ยังขาดแค่เล็กน้อย กับช่วงล่างที่หากเซ็ทแข็งกว่านี้อีกเล็กน้อย ผมว่าอารมณ์สปอร์ตมาเต็มกว่านี้แน่นอน
โดยช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระ ดับเบิลวิชโบน ด้านหลังอิสระ 5 ลิงค์
อ้อ อีกอย่างคือเบาะนั่งผู้ขับขี่ น่าจะปรับให้ต่ำกว่านี้ได้อีกสักหน่อย ผมว่าเมื่อปรับต่ำสุดมันสูงไปสำหรับเวอร์ชั่น สปอร์ต ครับ