เปิดยอดขาย ’รถยนต์ไฟฟ้า’ 5 ค่ายดัง ครึ่งปีแรก ‘เทสลา’ นำตลาด
คาดว่าในปี 2030 ทั่วโลกจะมี “รถยนต์ไฟฟ้า” หรือ “อีวี” วิ่งบนถนนมากถึง 145 ล้านคัน คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า” คือเมกะเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หุ้น TSLA ของ “เทสลา” เพิ่มขึ้น 122% ในปี 2566
บริษัทเทสลา มอเตอร์ (Teala Motor) หรือ “เทสลา” ผู้นำตลอดกาลของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เผยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน มียอดขายอยู่ที่ 336,892 คัน เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 259,790 คัน ได้รับแรงหนุนจากการขยายการผลิตที่โรงงานแห่งใหม่ในเท็กซัสที่เปิดใช้งาน ทำให้สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นสามารถตอบรับดีมานด์ในตลาด
โดยโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) และ เจ.พี.มอร์แกน (JPMorgan) ได้ปรับราคาเป้าหมายของราคาหุ้นเทสลาเพิ่มขึ้น หลังจากที่ในไตรมาสที่ 2 เทสลาสามารถการส่งมอบรถได้มากถึง 466,140 คัน ซึ่งมีปริมาณมากกว่าไตรมาสที่ 1 ที่ 422,875 คัน เพิ่มขึ้น 10% และเป็นจำนวนที่สูงกว่าคาดการณ์ไว้อยู่ที่ 445,000 คัน
ในขณะเดียวกัน ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลาลดลงเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์จากปีที่แล้ว โดยคิดเป็นสัดส่วน 60% ของรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายในประเทศ ตามข้อมูลจากมอเตอร์ อินเทลลิเจนท์ ซึ่งส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลงของเทสลา เกิดขึ้นเนื่องจากมีคู่แข่งเข้ามาในตลาดมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดโดยรวมเติบโต สะท้อนจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐตั้งแต่ต้นปีถึงเดือน มิ.ย. 66 เพิ่มขึ้นประมาณ 50% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2565
ในช่วงครึ่งปีแรกรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลามากกว่า 889,000 คัน ถูกส่งมอบไปยังทั่วโลกทั่วโลก และคาดว่าการผลิตจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเทสลาตั้งเป้าที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อย 1.8 ล้านคันในปี 2566
“อีลอน มัสก์” (Elon Musk) ซีอีโอของบริษัทเทสลา กล่าวกับผู้ถือหุ้นว่า “โรงงานในเท็กซัสควรเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ที่มีปริมาณการผลิตสูงสุดในสหรัฐฯ ซึ่งโรงงานในเท็กซัสมีเป้าหมายที่จะผลิตรถยนต์ให้ได้ครึ่งล้านคันต่อปีโดยจะเริ่มภายในสิ้นปี 2566”
โดยอดัม โจนาส (Adam Jonas)นักวิเคราะห์ของ มอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ให้คำแนะนำนักลงทุนสำหรับหุ้นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่ 2 และจำนวนการส่งมอบรถยนไฟฟ้าของค่ายรถต่างๆ ที่มีอุปสงค์และอุปทานเป็นปัจจัยสำคัญ นั้นอาจคล้ายกับอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ที่กล่าวว่าการเติบโตสูงแต่ผลตอบแทนที่น่าผิดหวัง
ในปีนี้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก“มอเตอร์ อินเทลลิเจนท์” (Motor Intelligence) บริษัทข้อมูลรถยนต์เผยแพร่รายงานยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 5 แบรนด์นำทั่วโลก โดยอันดับที่ 1 หนีไม่พ้นเจ้าตลาดอย่างเทสลา และอันดับที่ 2 คือ บริษัท ฮุนได มอเตอร์ กรุ๊ป ผู้ผลิตรถยนต์ในเกาหลีใต้เจ้าของแบรนด์รถยนต์ ฮุนได (Hyundai) และ เกีย (Kia) มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 38,457 คัน เพิ่มขึ้น 11 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 34,518 คัน
ส่วน "เจนเนอรัล มอเตอร์ส" (General Motors) หรือ “จีเอ็ม” (GM) มียอดขายเป็นอันดับที่ 3 อยู่ที่ 36,322 คัน ซึ่งเติบโตมากถึง 365% จากยอดขาย 7,820 คัน ในปีที่แล้ว โดย "แมรี่ บาร์รา" (Mary Barra) ซีอีโอของจีเอ็ม เผยความมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายเป็นรถไฟฟ้าได้มากกว่าเจ้าตลาดในปัจจุบันอย่าง Tesla ได้ภายในปี 2025
อันดับที่ 4 ตกเป็นของ “โฟล์กสวาเกน กรุ๊ป” (Volkswagen Group) มียอดขาย 26,538 คัน เพิ่มขึ้น 114% จาก12,424 คันในปีที่แล้ว และอันดับสุดท้ายเป็นของ “ฟอร์ดมอเตอร์” (Ford Motor) ซึ่งในปีที่แล้วเป็นค่ายรถที่สามารถทำยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอันดับสองรองจากเทสลา แต่ในปีนี้ฟอร์ดมียอดขาย 25,709 คัน เพิ่มขึ้นเพียง 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากมีการหยุดการผลิตรถยนต์เพื่อซ่อมแซมโรงงานบางแห่ง เช่น โรงงานในเม็กซิโกที่ผลิตรถรุ่น Mustang Mach-E
ทั้งนี้ไม่ได้มีเพียง 5 ค่ายรถยนต์ที่เป็นเจ้าตลาดขนาดใหญ่ โดยมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนว่า รถยนต์ไฟฟ้าราคาย่อมเยาจำนวนมากจากจีนและตลาดเกิดใหม่อื่นๆ จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาถูกลง และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมารถยนต์ที่ผลิตในจีนได้รับการออกแบบมาไม่ดีและมีคุณภาพที่ด้อยกว่า แต่ในปัจจุบันนี้มีการพัฒนาแซงหน้ารถรุ่นอื่นๆของประเทศคู่แข่ง ทั้งด้านราคาที่จับต้องได้คุณภาพ และประสบการณ์ของผู้ใช้ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี