เบนท์ลีย์ ปิดฉาก เครื่องยนต์ W12 เปิดทางพลังงานไฟฟ้า
เครื่องยนต์ Bentley W12 นั้น เบนท์ลีย์ เปิดตัวครั้งแรกตั้งแต่ปี 2546 มันถูกใช้ในรถยนต์รุ่นเรือธงหลายรุ่น ก่อนเตรียมปิดฉากการผลิต เพื่อเปิดทางให้กับพลังงานใหม่ อย่างไฟฟ้า
ตั้งแต่ เบนท์ลีย์ (Bentley) เปิดตัวเครื่องยนต์รุ่น W12 ครั้งแรกในปี 2546 ทีมวิศวกรได้พัฒนาประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านพละกำลัง แรงบิด การปล่อยไอเสีย รวมถึงการปรับแต่ง
โดยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เครื่องยนต์รุ่น W12 พัฒนาให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้น 37% แรงบิดเพิ่มขึ้น 54% ในขณะการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 25%
ประสิทธิภาพที่ได้มาจากการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบควบคุม การพัฒนาระบบน้ำมันเชื้อเพลิง การระบายความร้อน เทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์ หัวฉีดและการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เครื่องยนต์ W12 รุ่นล่าสุด ที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมดและยังใช้ถึงปัจจุบัน เริ่มต้นกับ Bentley Bentayga ที่เปิดตัวในปี 2558
W12 รุ่นล่าสุด มีการติดตั้งระบบการปิดการทำงานของกระบอกสูบ ระบบไดเรคท์และพอร์ตอินเจคชั่น และระบบเทอร์โบคู่
อย่างไรก็ตาม ยุคสมัยและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าเครื่องยนต์ W12 จะเป็นสิ่งที่ชื่นชอบของลูกค้าจำนวนมาก แต่มันก็จะเดินทางมาถึงวันสุดท้าย เมื่อ เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ประกาศยุติการผลิตเในเดือนเมษายน 2567 ที่โรงงานเมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ
รวมแล้วเบนท์ลีย์ จะผลิต W12 กว่า 100,000 เครื่อง
W12 นั้น นำมาใช้กับเรือธง Bentley Speed ตั้งแต่ปี 2546 ประกอบไปด้วย
- Continental GT Convertible Speed
- Continental GT Speed
- Flying Spur Speed
- Bentayga Speed
สำหรับรุ่น Speed เบนท์ลีย์เพิ่มความโดดเด่นด้วยชุดแต่ง Styling Specification รอบคัน ทั้งเพื่อความโฉบเฉี่ยวและหลักอากาศพลศาสตร์
ชุดแต่งผลิตขึ้นจากวัสดุคาร์บอนมันวาวสีดำ น้ำหนักเบา ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์
ตกแต่งด้วยกระจังหน้า กันชนด้านล่างเฉดสีเข้มแบบ Dark Tint กาบประตูห้องโดยสารแบบ ‘Speed’ ช่องระบายอากาศสีเข้ม และโลโก้ ‘Speed’ แบบโครเมียมตกแต่งบริเวณบังโคลนด้านหน้า
ล้ออัลลอย ออกแบบเฉพาะรุ่น ขนาด 22 นิ้วที่ เฉดสีเงินสว่าง แต่ก็มีตัวเลือกสำหรับผู้ที่ชอบโทนสีเข้มหรือเฉดสีดำเงาเพิ่มความดุดัน ฝาปิดช่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ ‘Jewel’
กาบบันไดประตูห้องโดยสารแบบเรืองแสงตกแต่งด้วยคำว่า ‘Speed’ ปลายท่อไอเสียรูปทรงรี สปอยเลอร์ท้าย
สำหรับรุ่น Flying Spur Speed อุปกรณ์ชุดแต่งภายนอกจะมาในรูปแบบของ Blackline Specification เฉดสีดำ
กระจังหน้าแบบเมทริกซ์ กรอบหน้าต่าง กรอบประตูด้านล่างและกันชนหลัง กับกรอบไฟหน้าและไฟท้าย มือจับประตู และช่องระบายอากาศใช้โทนสีเข้ม
ลูกค้าสามารถเลือกเฉดสีภายนอกได้ 17 เฉดสีมาตรฐาน และอีก 47 เฉดสีพิเศษและเฉดสีจากมูลินเนอร์ และเฉดสีแบบดูโอโทนอีก 24 เฉดสี
หรือจะเลือกสีอื่นๆ ตามที่ต้องการก็ได้เช่นกัน
ภายในห้องโดยสาร นำวัสดุหนัง Alcantara แบบที่ใช้ในรถแข่งมาใช้ ทั้งเบาะนั่ง คันเกียร์ พวงมาลัย แผงบุหลังคา พร้อมงานปักคำว่า ‘Speed’ บนเบาะโดยสาร รวมถึงการออกแบบการเย็บแบบตัดกันแบบใหม่ผ่านงานควิลท์เป็นลวดลายเพชร ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของรุ่น Speed
การตกแต่งภายในที่สามารถปรับแต่งในแบบเฉพาะตัวด้วยตัวเลือกเฉดสีหลัก 15 เฉดสีและเฉดสีรอง 11 เฉดสี รวมถึงการใช้หนังแบบ Alcantara ในการตกแต่งส่วนอื่นๆ พร้อมกับตัวเลือกวัสดุวีเนียร์ที่มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น
Piano Black เป็นตัวเลือกมาตรฐาน Crown Cut Walnut, Dark Burr Walnut, Dark Fiddleback Eucalyptus และ Koa เป็นต้น
Continental GT Speed ใช้เครื่องยนต์รุ่น W12 TSI ขนาด 6.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดกว่า 650 แรงม้า เพิ่มขึ้น 4% จากเครื่องยนต์รุ่น W12 แบบมาตรฐาน แรงบิด 900 นิวตันเมตร
- ความเร็วสูงสุด 335 กิโลเมตร / ชั่วโมง
- อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ในเวลา 3.6 วินาที ดีขึ้น 0.1 วินาที
ขณะที่ Flying Spur Speed ให้กำลังสูงสุด 626 แรงม้า แรงบิด 900 นิวตันเมตร
- อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง 3.8 วินาที
- ความเร็วสูงสุด 333 กิโลเมตร / ชั่วโมง
Bentayga Speed กับเครื่องยนต์เทอร์โบคู่รุ่น W12 ขนาด 6.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 626 แรงม้า แรงบิด 900 นิวตันเมตร
- ความเร็วสูงสุด 306 กิโลเมตร / ชั่วโมง
- อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง 3.9 วินาที
รถในตระกูล Speed ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบในความเร็ว มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟขั้นสูง ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ และ ระบบ Bentley Dynamic Ride
ระหว่างการขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ระบบจะบังคับล้อหลังในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้า ทำให้วงเลี้ยวแคบลง เพิ่มความคล่องตัว
แต่เมื่อขับที่ความเร็วสูง ล้อหลังจะเลี้ยวไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้าเพื่อเพิ่มความเสถียรในการยึดเกาะถนน
นอกจากนี้จุดเด่นของรถ คือ Bentley Dynamic Ride System เทคโนโลยีควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้าตัวแรกของโลกที่ใช้ระบบไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์ โดยมีระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้งช่วยควบคุมแรงบิดให้ล้อสัมพันธ์กับความเร็วเพื่อให้รถทรงตัวบนถนนได้อย่างสมดุลและตอบสนองต่อการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับในเมืองไทย เอเอเอส ออโต้เซอร์วิส ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เปิดรับคำสั่งจองก่อนปิดฉาก W12
- Continental GT Convertible Speed ราคาเริ่มต้นที่ 27.2 ล้านบาท
- Continental GT Speed ราคาเริ่มต้นที่ 24.8 ล้านบาท
- Flying Spur Speed ราคาเริ่มต้นที่ 23.1 ล้านบาท