วู่หลิง Air EV “รถคนเมือง – รถคันที่ 2” น่าสนใจ
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV มีตัวเลือกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ความนิยมของผู้บริโภคก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน เห็นได้จากช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ยอดจดทะเบียนจากกรมการขนส่งทางบก 4.34 หมื่นคัน สูงกว่าปีที่ที่แล้วทั้งปีหลายเท่าตัว เพราะปี 2565 ยอดจดทะเบียนไม่ถึง 1 หมื่นคัน
อย่างไรก็ตาม แต่ก็มีผู้บริโภคบางส่วนที่ยังลังเลใจ ว่าจะใช้หรือไม่ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) จากทั้งเรื่องของตัวเทคโนโลยี หรือ ความสะดวกในการใช้งาน ระดับราคา และบางส่วนที่มองไปถึงอนาคตข้างหน้า เมื่อต้องการขายออก หรือ เปลี่ยนรถใหม่ โครงสร้างราคามือสอง จะเป็นเช่นไร
ฝ่ายคนทำตลาดก็พยายามที่จะหาช่องสำหรับเจาะตลาด และหนึ่งในช่องที่หลายคนมองก็คือ ตลาดอีวี ที่ราคาไม่สูงนัก สเปค อาจจะไม่ต้องเลิศเลอ แต่เหมาะกับคนที่ต้องการใช้งานจริง โดยมีเป้าหมายชัดเจน เช่น ใช้งานในเมือง หรือใช้งานไม่ไกลนัก มีเส้นทางชัดเจน และเป็นรถที่เป็นยานพาหนะจริงๆ ที่เน้นความประหยัดด้านค่าใช้จ่ายพลังงาน หรือถ้าเมื่อถึงเวลาขายต่อจริงๆ ราคาจะลดลงไป ก็ยังไม่เสียดายมาก
รถไซส์เล็ก ถูกส่งเข้ามาเป็นทางเลือก โดยผู้ขายประเมินว่าจะจับตลาดผู้บริโภคจำนวนหนึ่งที่ต้องการรถเป็นพาหนะสำหรับเดินทางจริง และไม่ต้องการมีภาระกับการจ่ายค่าตัวรถที่มากเกินไป เก็บเงินเอาไว้ใช้อย่างอื่นดีกว่า เอาไว้เป็นค่าชาร์จไฟก็ยังดี
ปัจจุบันรถในกลุ่มนี้ที่ชัดเจน ก็คือ Pocco, Neta, Volt City EV และตามด้วย Wuling (วู่หลิง)
Pocco นั้นเปิดตลาดมาพักใหญ่ แต่ก็ยังเห็นออกสู่ตลาดไม่มากนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการเป็นรถพวงมาลัยซ้าย ระยะทางใช้งานไม่มากนัก ร้อยกว่า กม. และเป็นระบบการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ไม่มีการชาร์จกลับ หรือ รีเจนฯ และอีกอย่างก็คือ เริ่มมีตัวเลือกมากขึ้น
ขณะที่ Neta ที่เปิดตัว Neta V ถือว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่เปิดตัว แม้จะมีเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับตัวรถอยู่บ้าง แต่ก็ยังได้รับการยอมรับที่สูง โดยปัจจุบันยังครองตลาดเป็นอันดับ 2 อยู่ได้อย่างเหนียวแน่น รองจาก BYD
ทั้งนี้ Neta V มีราคาเลยครึ่งล้าน คือ 5.49 แสนบาท
ส่วน Wuling ที่เปิดตัว Air EV โดยบริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด ซึ่งนำเข้า Volt City EV มาก่อนหน้านี้ ก็ถูกวางให้เป็นตัวเลือกตรงกลางระหว่าง Pocco, Volt City EV กับ Neta
โดย Wuling Air EV เปิดตัว 2 รุ่น คือ
- Standard Range แบตเตอรี ความจุ 17.3 kWh ระยะทางใช้งานสูงสุด 200 กม. ราคา 3.95 แสนบาท
- Long Range แบตเตอรี 26.7 kWh ระยะทางใช้งานสูงสุด 300 กม. ราคา 4.65 แสนบาท
ทั้ง 2 รุ่น มีแพคเกจเสริม โดยบวกเพิ่มอีก 2 หมื่นบาท
ทั้ง 2 รุ่น ใช้มอเตอร์ตัวเดียวกัน ให้กำลังสูงสุด 41 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 110 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง
แรงม้าดูไม่สูงก็จริง แต่ก็ทำความเร็วสูงสุดได้ตามที่ระบุไว้ในสเปค คือ 106 กม./ชม. ส่วนที่ผมขับได้จริงเลยไปเล็กน้อยประมาณ 110 กม./ชม.
การไล่ความเร็วขึ้นไป ก็ไม่ได้อืดแบบที่คิดไว้ ด้วยแรงบิด 110 นิวตันเมตร กับจุดเด่นในอารมณ์ของมอเตอร์ไฟฟ้า และน้ำหนักที่ไม่ถึง 1 ตัน ก็ทำให้มันมีความคล่องตัวในระดับหนึ่ง แน่นอนไม่ได้จี๊ดจ๊าด แต่เรียกการใช้ความเร็วกลมกลืนกับรถอื่นๆ บนท้องถนน โดยเฉพาะเมื่อใช้งานในเมือง
ที่ความเร็วสูงสุด การทรงตัวของรถค่อนข้างนิ่งใช้ได้เลย เมื่อขับตามปกติ แต่ถ้าหักพวงมาลัยแรงๆ จะมีอาการท้ายออกได้เหมือนกัน แต่ก็ยังควบคุมรถได้ แต่ถ้าให้แนะนำ ถ้าจะใช้ความเร็วสูงๆ ควรจะแน่ใจว่าทางข้างหน้าเคลียร์ ไม่มีอะไรผลุนผลันออกมาให้ต้องหักหลบ
และจะให้ดีการที่มันเป็น City EV ความเร็วที่ใช้ระดับ 80-90 ก็น่าจะเหมาะสม
ไม่ช้าไปหรอกครับ ทุกวันนี้ ผมขับรถบนทางด่วนไป-กลับที่ทำงาน ก็อยู่ระดับ 80-90 หรือบางช่วงทะลุหลักร้อยนิดหน่อยเท่า่นั้น
หรือถ้าคิดจะขับออกต่างจังหวัดไม่ไกลนักก็ได้ เพราะการลองใช้งานของผมก็ใช้ร่วมกับรถใหญ่ๆ บนทางด่วนอยู่บ่อยครั้งไป แต่สิ่งที่จะไม่เหมาะสำหรับการเดินทางไกลก็คือ การชาร์จ ที่มีเฉพาะแบบชาร์จปกติ หรือ AC เท่า่นั้น ไม่มีระบบชาร์จเร็ว หรือ DC
อีกอย่างที่ไม่แนะนำให้ใช้ความเร็วสูงมาก หากทางไม่เคลียร์ ก็เพราะด้วยกายภาพของรถที่เล็ก ล้อทั้ง 4 อยู่ไม่ห่างกันนักทั้งความกว้างช่วงล้อ หรือระยะฐานล้อ และหากเทียบสัดส่วนของแพลทฟอร์มกับโครงสร้างตัวถัง ถือว่าเป็นรถที่มีความสูงพอควร
แต่ถ้าหากขับขี่ในเมือง เป็นรถที่คล่องตัวมาก รถคันเร่ง อัตราเร่งเรียกมาได้เร็ว ทำให้สอดแทรกพื้นที่ว่างได้ดี เขัาออกตรอกซอกซอย หริอลานจอดรถได้สะดวก พวงมาลัยไฟฟ้าน้ำหนักดี แต่ถ้าเพิ่มความแม่นยำอีกนิด จะดียิ่งขึ้น
จังหวะการเบรกก็น่าพอใจ กับความเร็วที่ไม่ได้สูงมากนัก ไม่มีอาการปัดหรือร่อน โดยเบรกนั้นเป็น ดิสค์เบรกทั้ง 4 ล้อ และมาพร้อม ABS และระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
ในด้านของตัวรถ เป็นรถที่มีขนาดเล็ก แต่วู่หลิง ออกแบบให้มีโครงหลังคาค่อนข้างสูง เพื่อเพิ่มความโปร่งโล่ง ชดเชยทางด้านกว้าง ด้านยาว ช่วยให้นั่งไม่อึดอัด และจะว่าไปสำหรับ 4 คน ก็นั่งได้สบายๆ เพราะเบาะแต่ละตำแหน่งก็รองรับร่างกายของคนทั่วไปได้ เพียงแต่ช่องไฟระหว่างคนน้อยลงเท่านั้นเอง
และการออกแบบที่ต้องใช้แนวตั้งเข้ามาช่วย ในตำแหน่งผู้ขับ แรกๆ อาจจะรู้สึกขาดๆ เกินๆ เล็กน้อย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ใช้รถเก๋งเป็นประจำ เพราะลักษณะการนั่ง เท้าจะยื่นไปด้านหน้าน้อยกว่า แต่จะออกไปในแนวเฉียงระหว่างยื่นไปข้างหน้ากับกดลงไปด้านล่าง แต่ถ้าคุ้นเคยกันสักพัก ก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่เคอะเขินในการนั่งควบคุม
และแม้จะเป็นรถคันเล็ก แต่ตำแหน่งที่นั่งสูง บวกกับมุมมองผ่านกระจกหน้า หน้าต่าง หรือ กระจกมองหลังที่เคลียร์ ก็ไม่ทำให้อึดอัด
แต่แน่นอนถ้าหากนั่งครบ 4 ที่นั่ง ก็ไม่เหมาะกับการไปชอปปิงมากนัก เพราะจะเหลือพื้นที่ด้านท้ายไว้เก็บสัมภาระไม่มากนัก แต่ถ้าไปหาร้านอาหารอร่อยๆ ทานกัน นั่นไม่เป็นปัญหา
ส่วนการออกแบบภายในห้องโดยสารของ Long Range ใช้วัสดุแบบนุ่มหลายส่วน ตกแต่งด้วยคาร์บอน แบล็ค เบาะหนังสังเคราะห์ จอแสดงข้อมูลการขับขี่ ขนาด 10.25 นิ้ว
ระบบความปลอดภัยหลักๆ
- ติดตั้งถุงลมคู่หน้า
- เบรก ABS, EBD
- เบรกมือไฟฟ้า
- ระบบ Auto Brake Hold มาให้ด้วย,
- ระบบควบคุมการทรงตัว (ESC)
- ระบบควบคุมความเร็วลงทางลาดชัน
- ระบบเตือนคนภายนอกขณะขับขี่
- ระบบตรวจวัดแรงดันลมยาง
- เซนเซอร์ช่วยจอดด้านหลัง
- พร้อมกล้องมองหลัง
- ระบบปลดล็อคประตูอัตโนมัติเมื่อเกิดการกระแทก
- ระบบ follow me home
ออปชั่นเพื่อความสะดวกสบาย ติดตั้งกระจกไฟฟ้า แบบ วันทัช, กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น, ช่องจ่ายไฟ 12 โวลต์, ช่องเชื่อมต่อยูเอสบี จอกลางแบบ wide screen 10.25 นิ้ว ลำโพง 4 ดอก ระบบล็อคประตูรีโมทและการควบคุมกระจกหน้าต่าง รวมถึงระบบเครื่องปรับอากาศระยะไกล
จะว่าไปอยู่ด้วยกันหลายวัน มันก็น่าใช้ดีนะครับ สำหรับใครที่ไม่ต้องการจ่ายเงินเยอะ ซื้อไว้ใช้งานจริง หรือใครที่มีรถอยู่แล้วจะซื้อเป็นรถคันที่สองที่ประหยัดค่าพลังงาน เอาไว้ใช้งานทั่วๆ ไป ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจนะครับ