เก๋งเล็ก ยังแรง ทางเลือกนอกเก๋งเล็ก ขับเคลื่อนตลาด ยอดขายโต ยุคตลาดรถถดถอย
ตลาดรถยนต์โดยรวมอยู่ในช่วงชะลอตัวติดต่อกันหลายเดือน ข้อมูลล่าสุดยอดขายรถยนต์เดือน มกราคม-สิงหาคม 2566 ยอดขายติดลบ 6.2% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกลุ่มปิกอัพ ที่ติดลบค่อนข้างแรง โดย 8 เดือน หดตัวไป 26.8%
การติดลบของตลาดปิกอัพ เป็นผลจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นหลายอย่าง ทั้งเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการเมืองก่อนหน้านี้ และที่สำคัญคือความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันท่ามกลางตลาดที่ติดลบ แต่กลุ่มรถยนต์นั่งกลับมียอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วงเวลาเดียวกัน คือ 8 เดือน มียอดรวม 194,243 คัน เพิ่มขึ้น 9.4%
และหากมองลึกลงไปในตลาดนี้ จะพบว่ากลุ่มที่ขับเคลื่อนตลาดสำคัญของรถยนต์นั่งคือ กลุ่มรถ Eco car และรถขนาดเล็ก หรือ B-Segment
อีโค คาร์ กับ B-Segment จริงๆ แล้วอาจจะมองว่าเป็นคนละตลาด หากแบ่งตามการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ที่ Eco car มีแต้มต่อจากมาตรการส่งเสริมของภาครัฐ-ภายใต้ข้อกำหนดบางอย่าง เช่น ขนาดเครื่องยนต์ และปริมาณการผลิต เป็นต้น
แต่โดยโครงสร้างของรถและความสามารถในการใช้งานแล้ว ทั้ง Eco car และ B-Segment นั้น แทบจะแยกกันไม่ออก เพราะในความเป็นจริงแล้ว อีโค คาร์ ที่ทำตลาดในวันนี้ ก็ใช้ตัวถังจาก B-Segment มาปรับให้เข้ากำหนดของภาครัฐ
ทั้ง 2 กลุ่มร่วมกันขับเคลื่อนตลาด และกลายเป็นตลาดหลักในกลุ่มรถยนต์นั่งทั้งหมด โดยช่วง 8 เดือน มีสัดส่วนการขายเกินครึ่งหนึ่งของตลาดรวมรถยนต์นั่ง หรือ 52% ของยอดขายตลาดรวม 194,243 คัน
โดย Eco car กับ B-Segment มียอดขายรวมกัน 101,929 คัน
และหากเทียบกับตลาดรวมรถยนต์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นปิกอัพ พีพีวี รถยนต์นั่ง หรือรถเพื่อการพาณิชย์ พบว่า Eco car กับ B-Segment มีสัดส่วน 19.4% ของตลาด ถือว่าไม่น้อย
เหตุผลที่รถขนาดเล็ก ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เพราะยกระดับตัวเองขึ้นมา ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น ทั้งการออกแบบ ออปชั่นเทคโนโลยี ระดับราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้น รวมถึงขนาดตัวถัง
ซึ่งเรื่องของขนาดตัวถังนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับตลาดรถยนต์ในประเทศไทย เพราะหลายคนเมื่อซื้อรถสักคัน ก็ต้องการความสามารถในการใช้งานที่หลากหลาย นั่งได้สะดวกสบาย ใกล้เคียงกับรถที่อยู่ในกลุ่ม C-Segment แต่มีภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อมากกว่า
สิ่งหนึ่งที่ยืนยันในเรื่องนี้ คือ ตลาดรถเล็กที่ปัจจุบันมีตัวเลือกทั้งตัวถังแฮทช์แบ็ค 5 ประตู และตัวถังซีดาน 4 ประตู แต่จะเห็นได้ว่ายอดจำหน่ายของซีดานนั้นสูงกว่าชัดเจน
โดยตัวเลขการขาย 9 เดือน ระหว่างเดือนมกราคม-กันยานยน ตัวถังแฮทช์แบ็ค มียอดรวม 40,704 คัน ขณะที่ตัวถังซีดานอยู่ที่ 74,357 คัน
ยอดจำหน่ายรถยนต์ อีโค คาร์ + บี-เซ็กเมนต์ ปี 2566
มกราคม 13,271 คัน
กุมภาพันธ์ 13,520 คัน
มีนาคม 15,859 คัน
เมษายน 10,487 คัน
พฤษภาคม 13,036 คัน
มิถุนายน 11326 คัน
กรกฎาคม 12,033 คัน
สิงหาคม 13,387 คัน
กันยายน 13,137 คัน
รวม 115,056 คัน
และหากไปไล่เรียงในตลาดกลุ่มนี้ ที่น่าสนใจคือ มีรถที่ไม่ใช่อีโค คาร์เบียดแทรกตลาดได้อย่างกลมกลืน นั่นคือ “MG5”
MG5 เข้าสู่ตลาดในปี 2564 โดยมาพร้อมกับจุดขายสำคัญคือ ตัวถังเทียบเท่า C-Segment เครื่องยนต์ B-Segment ราคา Eco car
ซึ่งปัจจุบันเมื่อเทียบรถในตลาด MG5 ก็ยังมีขนาดตัวถังที่ใหญ่ที่สุด และขนาดเครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุดคือ 1.5 ลิตร เนื่องจากรถที่เคยอยู่ในตลาดนี้ เช่นโตโยต้า วีออส ถอนตัวออกจากตลาดไปแล้ว
MG5 ทำตลาดมากว่า 2 ปี ก็ถึงเวลาที่ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ - ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจี จะเติมความสดใหม่ สร้างความเคลื่อนไหวให้กับตลาด ด้วยการจับเจ้าสปอร์ตคูเป้ ซีดาน มาแต่งเป็นรุ่นพิเศษ "MG5 10th Anniversary Special Edition" แต่ยังคงราคา ในระดับที่ดึงดูดใจกลมกลืนไปกับตลาดนี้ คือ 589,900 บาท
นอกจากนี้ยังเพิ่มทางเลือกสีตัวถังใหม่ “Crayon Grey”
การปรับในครั้งนี้ MG มีความคาดหวังที่จะขยายเข้าสู่ตลาดวัยรุ่นหนุ่มสาวมากขึ้น ผ่านการปรับลุคให้ดูสปอร์ตขึ้น มีออปชั่นที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น
การปรับเปลี่ยนมุมองที่สำคัญ เช่น การคุมโทนการตกแต่งทั้งภายนอกและภายในด้วยสไตล์ “โมโนโครม” ตกแต่งด้วยสีดำในหลากหลายตำแหน่งรอบคัน จัดวางโลโก้ 10th Anniversary ที่ประตูท้าย รวมถึงล้ออัลลอยสีดำดีไซน์ใหม่ขนาด 17 นิ้ว
ขณะที่ภายในห้องโดยสารมีจุดเด่นที่สำคัญเช่น หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอ Infotainment แบบ Touchscreen ขนาด 10 นิ้ว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน รองรับการเชื่อมต่อมัลติมีเดีย รวมถึงยังติดตั้งเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยมาเต็มที่ เช่นเดิม เป็นต้น
สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นแรงดึงดูดใหม่ต่อกลุ่มลูกค้า เสริมจุดเด่นเดิมที่สำคัญคือตัวถังขนาดใหญ่ ห้องโดยสารขนาดใหญ่ช่วยให้นั่งได้สบาย โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินทางพร้อมกันหลายคน
นอกจากนั้นก็ยังเติมทางเลือกทางการเงินให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับสถาบันการเงินหลายแห่งกำหนดเงินดาวน์ 10% เพื่อไม่ให้เป็นภาระสำหรับการหาเงินก้อนแรก รวมถึงแคมเปญอื่นๆ เพิ่มเติม
ดังนั้นหากมองไปถึงความต้องการหลักๆ ของลูกค้าที่ต้องการรถขนาดใหญ่ มีออปชั่นเยอะๆ และมีราคาไม่แรง ความเคลื่อนไหวของ MG5 ครั้งนี้ ถือว่าจะทำให้เข้าถึงลูกค้า และขยายฐานคนรุ่นใหม่ได้น่าสนใจทีเดียว