'MG 5' นั่งสบาย ราคาไม่แรง ช่วงล่างได้ ออปชั่นไม่เป็นรองใคร
เมื่อครั้งที่ เอ็มจี เปิดตัว MG 5 รถซีดานสไตล์คูเป้ เรียกเสียงฮือฮาให้ตลาดพอควร และการตอบรับถือว่าดีทีเดียว แม้ไม่เยอะมากอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยตั้งแต่เปิดตัวเดือน ก.ค. 2564 ถึงปัจจุบันมียอดขายสะสมประมาณ 21,000 คัน และล่าสุดเปิดตัวรุ่นพิเศษฉลอง 10 ปี ในไทย
จุดขายหลักของ MG 5 (เอ็มจี 5) ที่พูดกันติดปากก็คือ เป็นรถตัวถังขนาด ซี-เซ็กเมนต์ เครื่องยนต์ตลาดซับคอมแพคท์ แต่ราคาอีโค คาร์
โดยการเปิดตัวครั้งแรก เอ็มจี 5 มี 3 รุ่นย่อย คือ
- รุ่น C 5.59 แสนบาท
- รุ่น D 5.99 แสนบาท
- รุ่น X 6.89 แสนบาท
เป็นราคาที่เข้าถึงได้ง่าย และใส่ออปชั่นเข้ามามากมายทีเดียว เรียกว่าเป็นจุดขายสำคัญ รวมกับขนาดตัวถังที่กว้างขวางกว่ารถในกลุ่มเดียวกัน
ล่าสุดเอ็มจีเติมความสดใหม่กับรุ่นฉลอง 10 ปี การดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ด้วยการเปิดตัวรุ่น “MG5 10th Anniversary Special Edition” โดยมาพร้อมตัวถังสีใหม่ “Crayon Grey” พร้อมกับคุมโทนการตกแต่งทั้งภายนอกและภายในแบบ “โมโนโครม” ราคา 589,900 บาท
ก็ถือเป็นรถอีกคันที่น่าใช้ ถ้ามองกันที่การซื้อมาเป็นรถใช้งาน ราคาไม่แรง แต่ได้ความสะดวกสบายในห้องโดยสารระดับ ซี-เซ็กเมนต์ พื้นที่กว้างขวาง เบาะหลังมีพื้นที่วางเท้า พื้นที่ว่างช่วงเข่าเหลือๆ และยังมีช่องแอร์และช่องเชื่อมต่อยูเอสบีให้สำหรับเบาะหลังอีกด้วย
นั่ง 2 คน สบายๆ นั่ง 3 คน ก็ได้ แต่เสียดายตรงที่การพับเบาะหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บสัมภาระ เป็นการพับแบบชิ้นเดียว ถ้าพับแยกได้ก็จะสะดวกขึ้น กรณีมีผู้โดยสารเกิน 2 คน
การออกแบบภายในโดยรวมก็ดูดีครับ ดูร่วมสมัย ตำแหน่งอุปกรณ์ต่างๆ ควบคุมง่าย แป้นคันเร่ง แป้นเบรก ใช้งานได้ถนัดเท้า ปุ่มควบคุมต่างๆ ก็ใช้งานง่าย รวมถึงปุ่มควบคุมหรือการเลือกดูข้อมูลต่างๆ บนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ไม่ว่าจะเป็นการดูข้อมูลการขับขี่ อัตราสิ้นเปลือง หรือการใช้กำลังของเครื่องยนต์ หรือ ปุ่มรับสาย วางสายโทรศัพท์
MG5 10th Anniversary Special Edition นอกจากสีใหม่ ที่ดูเย็นตาสบายดี ก็ยังจุดพิเศษอื่นๆ โดยแปะโลโก้ 10th Anniversary ที่ฝากระโปรงท้าย รวมถึงที่ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว
ตัวถังภายนอกเลือกใช้วัสดุสีดำล้อไปกับตัวถังสีเทารอบคัน คือ กระจกมองข้าง มือจับประตูโล โก้เอ็มจี และชื่อรุ่น MG5 บริเวณฝากระโปรงท้าย
ส่วนออปชั่นหลักๆ ที่ให้มา ไฟหน้า LED เปิด-ปิด อัตโนมัติ ไฟสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน ไฟท้าย และไฟเบรกดวงที่สาม LED
การตกแต่งภายในเน้นโทนสีดำตัดด้วยสีแดง เบาะหนังฝั่งผู้ขับคนปรับแแบบแมนวล 6 ทิศทาง ฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า 4 ทิศทาง พร้อมที่พักแขนด้านหน้า
จอแสดงผลดิจิทัลลขนาด 7 นิ้ว ส่วนจอ Touchscreen ตรงกลางขนาด 10 นิ้ว กระจกไฟฟ้า ลำโพง 6 ดอก
รองรับระบบเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android กุญแจรีโมท ปุ่ม Push Start ล็อคและปลดล็อครถได้ด้วยปุ่มกดที่มือจับ ฝาท้ายเปิดด้วยปุ่มไฟฟ้า ระบบปรับอากาศแบบดิจิทัล ระบบกรองอากาศ PM 2.5
ฟังก์ชั่นช่วยการขับขี่และความปลอดภัย เช่น
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)
- กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ ทำงานอัตโนมัติทั้งช่วยใส่เกียร์ R หรือ เปิดไฟเลี้ยวทั้งซ้าย และขวา เพื่อให้เห็นสภาพแวดล้อมด้านข้าง คลายกังวลสำหรับบางคนที่ไม่ชอบขอบฟุตบาธเมื่อจะจอด หรือ หัวมุมเมื่อจะเลี้ยว
- เบรก ABS
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์
- ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว
- เบรกมือไฟฟ้า
- ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง หรือ Auto Vehicle Hold
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน
- ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้าง
- ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer
- ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ
- จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX
- ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ เป็นต้น
และจุดเด่นอีกอย่างของเอ็มจี 5 ในตลาดนี้ คือ พวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) ที่สามารถปรับน้ำหนักได้ 3 ระดับ คือ
- Urban ที่เหมาะกับการขับขี่ในเมือง หรือการหรือขึ้น-ลง เข้าออกที่จอดรถ ที่น้ำหนักเบามือเบาแรง ขับสบาย
- Normal แบบกลางๆ
- Dynamic ถ้าต้องการความรู้สึกระชับ น้ำหนักเพิ่มขึ้น เมื่อขับขี่ทางไกล หรือใช้ความเร็ว ลุยเขาลุยโค้ง ก็เลือกโหมดนี้ครับ
แต่จุดที่ขาดไปนิดก็คือ การปรับตำแหน่งพวงมาลัยที่ทำได้ค่าปรับสูง ต่ำแต่ไม่สามารถเลื่อนเข้าออกได้ ก็ต้องใช้วิธีปรับระยะของเบาะนั่ง และพนักพิงให้เหมาะสม ซึ่งก็พอปรับสักพัก ใช้งานสักพัก ก็เข้าที่เข้าทาง
เครื่องยนต์เบนซิน DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว VTi-TECH ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 114 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT
กำลังเครื่องยนต์เพียงพอกับการใช้งาน อาจจะไม่ได้ร้อนแรงจี๊ดจ๊าดมากนัก แต่การเรียกความเร็ว การเพิ่มความเร็วก็ทำได้อย่างต่อเนื่อง ลื่นไหล
ค่อยๆ เติมน้ำหนักลงบนคันเร่งแบบนุ่มนวลตามสไตล์ของเกียร์ ซีวีที ที่ชอบการขับขี่แบบนี้
ส่วนจังหวะการเรียกกำลังแบบเร่งด่วน เช่น การเร่งแซงในพื้นที่สั้นๆ ก็ต้องเค้นกำลังเครื่องยนต์กันบ้าง แต่ถ้าจะให้แซงแบบนุ่มเนียน ก็เผื่อระยะเพิ่มอีกเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เติมคันเร่งแบบนุ่มนวลครับ
ช่วงล่าง MG 5 ด้านหน้า อิสระแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชันบีม เซ็ทมาไปทางนุ่มนวล นั่งสบาย ดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี จังหวะรีบาวนด์ เมื่อขึ้น-ลง คอสะพานทำได้น่าพอใจ การขับขี่ในเส้นทางทั่วไป รถนิ่ง การคุมรถ คุมพวงมาลัย ก็ง่ายๆ จับหลวมๆ สบายๆ
ในทางโค้งจัดการได้ดี มีอาการโยนตัวของตัวถังบ้าง จากความนุ่มนวลของช่วงล่าง ทำให้ขาดอารมณ์สปอร์ตไปบ้าง แต่ก็ยังเข้า-ออกได้ในระดับความเร็วที่เร็วค่อนข้างสูงได้ดีครับ ไม่ต้องเบรกหนักต้องย่องเข้าโค้ง ความแม่นยำโดยรวมดี พวงมาลัยอาจจะขาดๆ ไปนิดหน่อย แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ดี
เบรกเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ จังหวะการเบรกแม่นยำ และอาการของรถทรงตัวดี อาการหน้ายุบท้ายยกก็มีน้อย ถือว่าเซ็ทเบรกมาน่าพอใจ
โดยรวมก็เป็นตัวเลือกที่ดีอีกคัน สำหรับผู้ที่ต้องการรถเอาไว้ใช้งานในชีวิตประจำวัน นั่งสบาย เดินทางสะดวก และที่สำคัญ ราคาไม่แรงครับ ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเท่าที่ลองใช้งานผสมกันไป หนักไปทางขับในกรุงเทพฯ ที่รถหนาแน่น กินน้ำมัน ก็ได้ค่าเฉลี่ย 13-14 กม./ลิตร
ก็โอเคอยู่นะ