โตโยต้า Corolla Cross GR-Sport เติมความสด เสริมออปชั่น ขับเนียนเหมือนเดิม
ถือว่าคุ้มครับ ถ้าใครซื้อ โตโยต้า โคโรลล่า ครอส รุ่นปรับโฉมที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา ไม่ต้องเทียบกับใคร เทียบกับตัวเอง เพราะการปรับโฉมครั้งนี้ นอกจากจะปรับเปลี่ยนอะไรใหม่หลายอย่างแล้ว ยังเพิ่มออปชั่นเข้ามาอีกมากมาย โดยไม่ได้ขยับราคาเลยแม้แต่แดงเดียว
โตโยต้า โคโรลล่า ครอส (Toyota Corolla Cross) เป็นรถในกลุ่ม C-SUV ขนาดตัวรถผมว่ากำลังดี ทั้งการใช้งานส่วนตัวหรือใช้งานสำหรับครอบครัวย่อมๆ
โดยภายในห้องโดยสารกว้างขวางใช้ได้หรับรถในกลุ่ม ซี-เซ็กเมนต์ เบาะนั่งด้านหลังนั่งแล้ว ระยะห่างของเข่ากับเบาะหน้ายังเหลืออีกคืบกว่าๆ พื้นที่วางเท้าเพียงพอ ขยับได้แก้เมื่อยเมื่อต้องนั่งนานๆ
และก็ยังมีหลังคา panoramic roof ที่เพิ่มเติมเข้ามาช่วยให้ดูโปร่งโล่งมากขึ้น เมื่อเปิดม่านบังแดดที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ในช่วงเวลาที่อากาศดีๆ
เบาะหลังสามารถพับได้แบบ 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ ตัวเบาะพับได้เป็นแนวราบขนานกับพื้นรถ แต่มีความต่างระดับกับพื้นห้องเก็บสัมภาระเล็กน้อย
ส่วนการเปิด-ปิด ฝาท้ายเพื่อเก็บสัมภาระ มีความสะดวกจากเซ็นเซอร์ใต้กันชน ทำให้ไม่ต้องใช้มือเปิด หรือ ควานหากุญแจแต่อย่างใด
การเก็บเสียงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยเฉพาะในตำแหน่งเบาะหน้าที่เสียงลมปะทะมีน้อย เสียงเครื่องยนต์ก็เบา ยกเว้นช่วงที่กดคันเร่งหนักๆ เพื่อเรียกกลังเพิ่มความเร็วเร่งด่วน รวมถึงเสียงยางที่เข้ามาน้อย
แต่เบาะหลังจะได้ยินเสียงยางด้านหลังมากกว่าด้านหน้า แต่อยู่ในระดับที่ไม่สร้างความรำคาญครับ และหากเปิดเครื่องเสียง ลำโพง 6 ดอกในรถก็จะทำให้เสียงยางนั้นหายไปจากการได้ยิน
ด้านการตลาด โคโรลล่า ครอส ถือว่าเป็นรถที่มีบทบาทสำคัญของโตโยต้า และเมื่อครั้งที่เปิดตัวครัั้งแรกกลางปี 2563 ก็สร้างความฮือฮาให้กับตลาด เพราะนี่่เป็นโคโรลล่า ในเวอร์ชั่น เอสยูวี ครั้งแรกที่ทำตลาด และการตอบรับของลูกค้าก็ดีทีเดียวช่วงเดือนแรกมียอดจอง 4,182 คัน และในระยะเวลา 12 เดือน มียอดมากกว่า 2.25 หมื่นคัน
ต้องไม่ลืมนะครับ ช่วงการเปิดตัวนั้นเป็นช่วงที่ โควิด-19 กำลังร้อนแรงในบ้านเราเลยครับ
ขณะที่ภาพรวมก็ประเมินกันว่าตลาด ซี-เอสยูวี จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น และจะมีคู่แข่งเข้ามาเล่นในตลาดนี้มากขึ้น โดยเฉพาะรถจากจีนที่จะมาในรูปแบบของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV)
โตโยต้าเองก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ก็มั่นใจว่าเทคโนโลยี ไฮบริด ที่ทำงานได้ดีขึ้นจะเป็นทางเลือกที่ลูกค้ายังให้ความสำคัญโดยเฉพาะความสะดวกในการใช้งาน แต่ก็ยังมีรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์อย่างเดียวให้เลือกเป็นรุ่นพื้นฐาน ที่ราคาเข้าถึงได้ง่าย
และก็เชื่อว่าการปรับโฉมครัั้งนี้ที่มีทั้งความสดใหม่ และการเพิ่มเติมสิ่งใหม่ๆ จะทำให้โคโรลล่า ครอส มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
โดยแต่ละรุ่นย่อยก็เปลี่ยนแปลงต่างกันไป และสำหรับรุ่นท็อป GR-Sport ที่อยู่กับผมวันนี้ การเปลี่ยนแปลงตามรายละเอียดด้านล่างครับ
โดยตัวเลือกของ โคโรลล่า ครอส ประกอบด้วย
- HEV GR-Sport 1,254,000 บาท
- HEV Premium Luxury 1,204,000 บาท
- HEV Premium 1,094,000 บาท
- 1.8 Sport Plus 999,000 บาท
มีสีตัวถังให้เลือกในรุ่น HEV Premium Luxury, HEV Premium และ 1.8 Sport Plus ประกอบด้วย
- สีเทา Cement Gray Metallic เป็นสีใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามา
- สีเทา Celestite Gray Metallic
- สีขาว Platinum White Pearl
- สีเงิน Metal Stream Metallic
- สีดำ Attitude Black Mica
รุ่น HEV GR Sport
- สีขาว Platinum White Pearl พร้อมหลังคาดำ
- สีแดง Red Mica Metallic พร้อมหลังคาดำ
- สีดำ Attitude Black Mica
และยังมีสีพิเศษให้เลือก คือ
- รุ่น GR-Sport สี Platinum White Pearl หลังคาสีดำ เพิ่ม 15,000 บาท, สี Red Mica Metallic พร้อมหลังคาสีดำ เพิ่ม 10,000 บาท
- รุ่น HEV Premium Luxury, HEV Premium, 1.8 Sport Plus สี Platinum White Pearl และ Cement Gray Metallic เพิ่ม 10,000 บาท
ส่วนสีภายในประกอบด้วย
- สี Dark Rose เป็นสีใหม่ มีให้เลือกในรุ่น HEV Premium Luxury, HEV Premium ที่มีสีภายนอก Platinum White Pearl, Celestite Gray Metallic และ Attitude Black Mica
- สีดำ มีในรุ่น HEV Premium Luxury, HEV Premium ที่ใช้สีภายนอก Cement Gray Metallic และ สี Metal Stream Metallic และรุ่น 1.8 Sport Plus
- สี GR Sport Black เฉพาะรุ่น GR Sport
วันนี้ผมพาไปลองขับตัวท็อป HEV GR-Sport กันครับ
ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริด ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที และมอเตอร์ไฟฟ้า แบบซิงโครนัส แม่เหล็กถาวร กำลังสูงสด 71 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 163 นิวตันเมตร
เมื่อทำงานร่วมกัน ระบบไฮบริดให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า
แม้ด้านเทคนิคไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ทั้งระะบบไฮบริด หรือ ช่วงล่าง แต่จริงๆ แล้วมีการปรับจูนใหม่ทั้งเครื่องยนต์ที่ปรับจังหวะการจัดระเบิดเพื่อให้เผาไหม้สมบูรณ์ขึ้น ได้กำลังเพิ่มขึ้น และปรับจูนการทำงานของมอเตอร์ให้ตอบสนองช่วงจังหวะการขับขี่ต่างกันทั้งความเร็วต่ำหรือความเร็วสูงให้ละเอียดขึ้น
ซึ่งจากการลองขับ อย่างแรกที่รับรู้ได้คืออัตราสิ้นเปลืองที่โดดเด่นทีเดียวครับ โดยอีโค สติกเกอร์ระบุไว้ 23.3 กม./ลิตร แต่การขับจริงของผมเส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน ทำได้ประมาณ 20 กม./ลิตร ซึ่งผมว่าโอเคเลยครับ น่าจะเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการความประหยัด แต่ยังไมพร้อมไปขับ อีวี
ส่วนการตอบสนองด้านการขับขี่ การเรียกกำลังเพิ่มความเร็วหรือเร่งแซง มาได้รวดเร็ว นุ่มนวล ด้วยการค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักเท้าลงไปบนแป้นคันเร่ง แต่บางจังหวะที่ต้องการกำลังเพิ่มขึ้นแบบเร่งด่วน ที่ต้องกดคันเร่งหนักๆ แบบทันทีทันใดจะได้ยินเสียงเค้นกำลังเครื่องยนต์อยู่บ้าง
แต่ในภาพรวมของการขับขี่ในเส้นทางจากกรุงเทพฯ ผ่านถนนพระราม 2 ไปออกเพชรเกษม และมีบางช่วงที่เข้าไปใช้งานถนนสายรองบ้าง ที่เป็นถนนเล็กๆ การตอบสนองของชุดไฮบริดที่ส่งกำลังผ่านเกียร์ E-CVT ถือว่าทำได้น่าพอใจ และอย่างที่บอกถ้าประเมินเส้นทาง สถานการณ์รอบตัว การค่อยๆ เติมคันเร่ง จะเรียกกำลังรถมาได้เร็วและลื่นไหล ตามรูปแบบของเกียร์แบบซีวีที
ส่วนการทำงานของระบบช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลัง ทอร์ชั่น บีม หรือคานแข็ง พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ขณะ่ที่ยางใช้ขนาด 225/50 R18
เซ็ทมาดีครับ รถนิ่งในทุกเส้นทางที่ลองขับ แม้จะใช้ความเร็วค่อนข้างสูง ก็ยังกุมพวงมาลัยแบบหลวมๆ สบายๆ การเปลี่ยนช่องทางไปมาอย่างรวดเร็ว สามารถดึงรถให้อยู่ในช่วงทางใหม่ได้รวดเร็ว ไม่มีอาการขาด หรือ เกิน
รวมถึงการลองขับในเส้นทางโค้งธรรมชาติ ถนนสายเล็กๆ 2 เลนสวนทาง ทำให้รับรู้ได้ชัดเจนมากขึ้นครับว่าการยึดเกาะถนนนั้นดีเลยครับ เกาะและแม่นยำ และก็ต้องให้เครดิตกับพวงมาลัยด้วย เพราะมีความแม่นยำ ก็ช่วยให้คุมรถได้ง่ายขึ้น
แต่โดยส่วนตัวผมอยากได้น้ำหนักพวงมาลัยเพิ่มอีกนิด แต่คิดว่าหลายคนน่าจะชอบแบบนี้ เบามือ ไม่ต้องออกแรงมาก
การให้ตัวหรือการโยนตัวของตัวถังน้อย ทำให้การประเมินอาการรถกับเส้นทางทำได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการขับในเส้นทางทางโค้ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางที่มีโค้งต่อเนื่องซ้ายทีขวาที
ส่วนโหมดการขับขี่ให้เลือกทั้ง Eco, Normal, Sport และ EV ให้เลือกกใช้ถ้าหากว่ามีพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรีเพียงพอ ซึ่งก็คงใช้ได้ระยะสั้นๆ ในช่วงที่ต้องการจริงๆ ส่วนการขับของผมส่วนใหญ่เลือกใช้ Normal ซึ่งเพียงพอแล้ว
ขณะที่เบาะนั่งผู้ขับ นั่งได้สบาย และกระชับ ช่วยในการขับขี่ได้มาก ทัศนวิสัยต่างๆ เห็นได้ชัดเจน และเมื่อลองขับลองนั่งกันยาวๆ ผมว่ามันเป็นรถที่เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน หรือว่าเดินทางจะใกล้หรือไกลก็ได้
เพราะว่าขับแล้วไม่เหนื่อย ขับง่าย สบายๆ ครับ