ยอดจองมอเตอร์โชว์ โตโยต้า บีวายดี ฮอนด้า ท็อป 3 - EV ส่วนแบ่ง 32%

งาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45” ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม – 7 เมษายน 2567 พบว่ามียอดจอง มอเตอร์โชว์ รวมรถยนต์และจักรยานยนต์ 58,611 คัน เพิ่มขึ้น 27.5% จากปีที่ผ่านมา โดยผู้จัด “กรังด์ปรีซ์ กรุ๊ป” ระบุว่า ส่วนหนึ่งมาจากการมีรถยนต์และรถยนต์จักรยานยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่แนะนำในช่วงงาน รวมถึงแคมเปญกระตุ้นยอดขาย

ส่วนยอดผู้ชมงานรวมทั้งสิ้น 1.6 ล้านคน

จาตุรนต์ โกมลมิศร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) รองประธานจัดงานเปิดเผยว่า  การจัดงานในปีนี้ มีผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจากประเทศจีนและเวียดนาม ที่นำ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) รุ่นใหม่ๆ ราคาตั้งแต่หลักแสนปลายๆ ไปจนถึงหลักล้านต้นๆ ทำให้ผู้บริโภคให้ความสนใจจำนวนมา ส่งผลให้ยอดจองเติบโตอย่างชัดเจน 

“รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนได้รับความสนใจจากประชาชน เช่นเดียวกับค่ายยุโรป ไม่ว่าจะเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู และวอลโว่ โดยมียอดจองรวมกันกว่า 17,517 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งกว่า 32.78% ขณะที่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นส่วนประกอบก็ยังคงมีสัดส่วนยอดจองกว่า 35,921 คัน”

ทั้งนี้ตลาดอีวีเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีทีผ่านมา โดยล่าสุดปี 2566 มียอดจดทะเบียนกว่า 7.6 หมื่นคัน ขณะที่ปีก่อนหน้าต่ำกว่า 1 หมื่นคัน ส่งผลให้สัดส่วน EV ในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 10% แต่สัดส่วนการจองในงานปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 32.78 %

จาตุรนต์ระบุว่า ด้านพฤติกรรมของผู้บริโภค พบว่าตอบรับรถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวและเปิดจองภายในงานเป็นครั้งแรก เห็นได้จากบรรยากาศการเจรจาที่หนาแน่นโดยเฉพาะในช่วงสุดสัปดาห์ที่มียอดจอง 2 เท่าของวันธรรมดา 

อย่างไรก็ตามด้วยพฤติกรรมของคนผู้บริโภคเปลี่ยนไปในช่วงที่ต้องรัดเข็มขัด จึงหันมาซื้อหารถใหม่ที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่ามากขึ้น ส่วนตลาดรถหรูยังคงเติบโตตามเป้าจากการที่ค่ายรถต่างชิงเปิดตัวสินค้าใหม่แทบทุกรุ่น เพื่อกระตุ้นยอดขาย

ยอดรถจองมอเตอร์โชว์ในงาน เรียงตามมากไปหาน้อย ประกอบด้วย

• Toyota 8,540 คัน
• BYD 5,345 คัน
• Honda 4.607 คัน
• MG 3,518 คัน
• Mitsubishi 3,409 คัน
• Changan 3,073 คัน
• AION 3,018 คัน
• GWM 2,815 คัน
• ISUZU 2,734 คัน
• Nissan 2,488 คัน
• Mazda 2,292 คัน
• Mercedes-Benz 1,642 คัน
• Neta 1,618 คัน
• Suzuki 1,608 คัน
• Ford 1,469 คัน
• KIA 1,151 คัน
• Hyundai 1,080 คัน
• BMW 1,001 คัน
• ZEEKR 398 คัน
• Volvo 320 คัน
• XPENG 188 คัน
• AUDI 182 คัน
• Mini 166 คัน
• Lexus 146 คัน
• BOMA ICS 140 คัน
• Rowen TECH ART 89 คัน
• Peugeot 88 คัน
• NEX POINT 87 คัน    
• Porshe 65 คัน
• M'z SPEED 46 คัน
• WABI BLACH PEARL 41 คัน
• Lotus 32 คัน
• Jeep 21 คัน
•  Maserati 15 คัน
• Bentley 3 คัน
• Rolls-Royce 3 คัน

สำหรับยอดจองปีนี้ น่าสนใจที่ค่ายรถเดิมที่ไม่มี อีวี ทำตลาดอย่างจริงจัง สามารถสร้างยอดจองได้จำนวนมากหลายแบรนด์ สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่นักการตลาดระบุว่าตลาดรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ (ICE) จะยังคงมีบทบาทสำคัญสำหรับตลาดประเทศไทย เนื่องจากยังมีผู้บริโภคจำนวนมากที่ยังไม่พร้อมสำหรับ อีวี 

นอกจากนี้รถลูกผสมอย่างไฮบริด ก็ยังคงได้รับความนิยมสูง เนื่องจากตอบสนองในด้านความประหยัดและความสะดวกในการใช้งาน ตัวอย่าง เช่น มิตซูบิชิ ที่หลังจากเปิดตลาด เอ็กซ์แพนเดอร์ และเอ็กซ์แพนเดอร์ ไฮบริด ได้รับการตอบรับจากลูกค้าจำนวนมาก และส่งผลให้ติดอันดับที่ 5 ยอดจองสูงสุดในงาน 

โดยเฉพาะตลาดรถเล็ก หรือตลาดสำหรับผู้ที่ซื้อรถเป็นคันแรกในชีวิต จะหันมาสนใจกลุ่มรถอีโค คาร์ หรือ บี-เซ็กเมนต์มากกว่า ขณะที่คนที่ซื้อ อีวี ส่วนใหญ่จะไม่ได้ซื้อเป็นคันแรกของบ้าน 

อีกตลาดที่น่าจับตา คือ รถพรีเมียม ซึ่งสถานการณ์โดยรวมในปัจจุบัน บีเอ็มดับเบิลยู ครองตำแหน่งผู้นำตลาดมาต่อเนื่อง 3 ปี หลังจากแซงหน้าคู่แข่งสำคัญอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ แต่สำหรับงานนี้ พบว่า ยอดจองเมอร์เซเดส-เบนซ์ สูงกว่า บีเอ็มดับเบิลยู แบบมีนัยยะ 

ทั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เพิ่งปรับกลยุทธ์การขายใหม่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผา่นมา ที่เรียกว่า Retail of the Future เป็นการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์โดยตรงกับบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อให้นโยบายราคาเดียวเห็นผลชัดเจน 

ด้านรถจักรยานยนต์ในปีนี้มีแบรนด์จากประเทศจีนเข้าร่วมงาน 5 แบรนด์ ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความสนใจไม่น้อย ทำให้มียอดจองรถจักรยานยนต์ภายในงานรวมทั้งสิ้น 5,173 คัน