เปิดราคา MG3 HYBRID+ เริ่ม 559,000 บาท ลองแล้ว ขับสนุก แรงบิดเด่น
เอ็มจี เปิดตัวรถรุ่นใหม่ “MG3 HYBRID+” อย่างเป็นทางการวันนี้ (20 ส.ค.2567) โดยรถในตลาด บี-เซ็กเมนต์ คันนี้ มาพร้อมกับเทคโนโลยี ไฮบริด ที่ทำได้ดีทั้งเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองและสมรรถนะ
เอ็มจี ระบุว่า MG3 HYBRID+ (เอ็มจี 3 ไฮบริด พลัส) สามารถขับขี่ได้ระยะทางสูงสุด มากกว่า 800 กิโลเมตร ต่อน้ำมัน 1 ถัง
เอ็มจี เคยทำตลาด MG3 ในตลาดประเทศไทยเป็นรุ่นที่ 2 ในปี 2558 ต่อจาก MG 6
โดย MG3 เป็นรถขนาดเล็ก ใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ก่อนที่จะค่อยๆ เฟดออกจากตลาดไป แต่การกลับมาครั้งนี้ MG3 มาพร้อมกับแนวคิดใหม่ มาพร้อมกับพลังงานทางเลือก ด้วยการนำระบบไฮบริดเข้ามาใช้ เปิดตัวครั้งแรกในเวทีโลกที่ทงาน เจนีวา ออโตโชว์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
MG3 HYBRID+ เป็นรถในกลุ่ม B-segment ที่บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในไทย ระบุว่าเป็น global model รุ่นที่ 2 มีเป้าหมายเจาะกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ ชูจุดเด่นรถยนต์พลังงานทางเลือกที่แตกต่าง โดยล่าสุดก่อนเปิดตัวได้เปิดสายการผลิตที่โรงงานในประเทศไทยที่ชลบุรีไปแล้ว
ระบบไฮบริด เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ที่รองรับเชื้อเพลิง E20 กับมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งสมรรถนะที่ได้นั่นน่าสนใจทีเดียว
เครื่องยนต์
- กำลังสูงสุด 102 แรงม้า (75 กิโลวัตต์)
- แรงบิดสูงสุด 128 นิวตันเมตร
มอเตอร์ไฟฟ้า
- กำลังสูงสุด 136 แรงม้า (100 กิโลวัตต์)
- แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันมเตร
สมรรถนะโดยรวมเมื่อทำงานร่วมกัน
- กำลังสูงสุด194 แรงม้า (143 กิโลวัตต์)
- แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร
ซึ่งสมรรถนะที่ได้นั้น ถือว่าแรงสุดในกลุ่มรถ B-Segment
- อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 8 วินาที
- อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 5 วินาที
ส่วนแบตเตอรีแบบลิเธียม ไอออน รูปแบบ Cell-To-Pack ความจุ 1.83 kWh ซึ่งมีความจุมากที่สุดในรถขนาดเดียวกัน
โหมดการขับขี่มี 3 รูปแบบ ได้แก่ ECO, NORMAL และ SPORT
ระบบส่งกำลัง Hybrid Transmission ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้าแบบ E-AT 3 อัตราทดเกียร์ ปรับการทำงานแบบอัตโนมัติ
ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ซึ่งเป็นการชาร์จไฟกลับ ปรับระดับ 3 ระดับ ได้แก่ มาก ปานกลาง และน้อย เลือกระดับความหน่วงตามความชอบได้ด้วยตัวเอง ส่วนรัศมีวงเลี้ยว 5.2 เมตร
ขณะที่ขนาดตัวถัง MG3 HYBRID+ เอ็มจีระบุว่าเป็นรถที่กว้างที่สุดในตลาด ซับ คอมแพคท์
- ความยาว 4,113 มม.
- กว้าง 1,797 มม.
- สูง 1,502 มม.
- ระยะฐานล้อ 2,570 มม.
- ระยะต่ำสุดจากพื้น (ground clearance) 117 มม.
- พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายที่มีความจุ 293 ลิตร และหากพับเบาะหลังลงพื้นที่จะเพิ่มเป็น 1,037 ลิตร
ส่วนออปชั่นหลักๆ ตัวท็อปภายนอกประกอบด้วย
- ไฟหน้า LED พร้อมระบบเปิด-ปิด อัตโนมัติ
- ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่กลางวัน (Daytime Running Lights)
- ไฟท้ายและไฟเบรกดวงที่สาม
- ไฟตัดหมอกหลัง
- ที่ปัดน้ำฝนด้านหน้าอัตโนมัติ ใบปัดน้ำฝนด้านหลัง
- กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า พับอัตโนมัติ พร้อมไฟเลี้ยว
- ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว
ส่วนภายในห้องโดยสารออกแบบคอนโซลที่เล่นระดับให้มีมิติ คุมโทนด้วยด้วยสีทูโทนขาวสลับดำ และมีออปชั่นหลักๆ คือ
- พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ปุ่มรับสายวางสายโทรศัพท์
- กระจกไฟฟ้า One Touch Up-Down ด้านผู้ขับขี่
- หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi – Function Display) ส่วนมอนิเตอร์กลางระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว
- เครื่องเสียงพร้อมลำโพง 6 ดอก
- ช่องใส่ของภายในห้องโดยสารรวม 25 จุด
- เบาะผู้ขับขี่ปรับได้ 6 ทิศทาง เบาะผู้โดยสารด้านหน้า 4 ทิศทาง
- ที่พักแขนด้านหน้า เบาะนั่งด้านหลังพับได้เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ
- ระบบปรับอากาศแบบดิจิทัล
- ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
- ระบบกรองอากาศ PM 2.5
- รองรับระบบเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย
- ระบบกุญแจรีโมท (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start
ด้านการขับขี่และความปลอดภัย
- พวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS)
- ช่วงล่างด้านหน้า MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง
- ช่วงล่างหลัง Torsion Beam หรือคานแข็ง
- ดิสก์เบรก 4 ล้อ ด้านหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน
- ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ซึ่งรวมระบบความปลอดภัย ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) หรือระบบอำนวยความสะดวกช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
- ระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System)
- เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake)
- Auto Vehicle Hold
- เบรก ABS
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
- ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS (Electronic Differential System)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
- สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System)
- ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกช่องทาง LDP (Lane Departure Prevention)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง LKA (Lane Keep Assist)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง LDW (Lane Departure Warning)
- ระบบเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้า FCW (Forward Collision Warning)
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน AEB (Autonomous Emergency Braking)
- ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ UDW (Unsteady Driving Warning)
- ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ ICA (Intelligent Cruise Assist)
- ระบบตรวจสอบความผิดปกติลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
- ถุงลมคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลม
- กล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition
- จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX
- ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock)
โดยราคาจำน่าย MG3 Hybrid+ ประกอบด้วย
- MG3 Hybrid+ D ราคา 559,000 บาท
- MG3 Hybrid+ X ราคา 599,000 บาท
ทีนี้มาดูกันครับว่า MG3 Hybrid+ น่าใช้ น่าขับมากน้อยแค่ไหน
แน่นอนจุดหนึ่งที่ต้องพูดถึงกัน คือจุดขายหลักของนั่นคือ ระบบไฮบริด ที่เป็นไฮบริด เจเนอเรชั่นใหม่ ที่เอ็มจีชูในประเด็นแรงที่สุดในตลาดเดียวกัน และความประหยัดที่เคลมไว้ว่า 26.2 กม./ลิตร
ระบบไฮบริดของเอ็มจี 3 เป็นไฮบริดแบบ Series และ Parallel 8 คือทำงานได้ทั้ง 2 รูปแบบ และการที่แทรคชั่น มอเตอร์ ให้กำลังสูงสุด 134 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ทำให้มันสามารถทำงานในรูปแบบ Series Hybrid หรือการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% และเครื่องยนต์ทำหน้าที่ในการสร้างกระแสไฟฟ้าผ่าน เจนเนอเรเตอร์ ได้ดีในหลายสถานการณ์ ช่วยดึงจุดเด่นในด้านสมรรถนะออกมา
ส่วนการทำงานแบบพาราเลล หลักๆ จะอยู่ที่ช่วงการไต่ความเร็วจาก 80-120 กม./ชม. ขณะที่การใช้ความเร็วคงที่ระดับ 80 กม./ชม. จะใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อน แต่ถ้าคงที่ในระดับ 120 กม./ชม. เครื่องยนต์จะทำงานโดยตรง พร้อมกับชาร์จไฟไปในตัว
ส่วนโหมดขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ อีวี หากแบตเตอรีมีกำลังไฟเพียงพอ จะขับเคลื่อนในช่วงการออกตัวไปจนถึงความเร็วระดับ 30 กม./ชม. ซึ่งแน่นอนตามหลักการมันก็จะช่วยให้ภาพรวมการทำงานมีความประหยัดเพิ่มขึ้น เพราะช่วงออกตัวเป็นหนึ่งช่วงที่มีอัตราการสิ้นเปลืองสูง
ผมลองขับ เอ็มจี 3 ไฮบริด พลัส จากกรุงเทพฯ ไปนครสวรรค์ ซึ่งสิ่งที่รับรู้ได้คือเป็นรถเล็กที่มีอัตราเร่งที่ดี จังหวะการออกตัวหรือเปลี่ยนความเร็วไปมาทำได้รวดเร็ว ซึ่งต้องใช้หลายครั้งจากสภาพจราจร ทั้งการเปลี่ยนช่องทางไปมา หรือจังหวะออกจากทางร่วมทางแยก ช่วยให้เป็นรถที่มีความคล่องตัวสูงทีเดียวกับการใช้งานในสถานการณ์แบบนี้
และเมื่อออกนอกเขตเมืองที่ทำความเร็วได้ อัตราเร่งของรถก็ช่วยได้เยอะเช่นกัน เช่น จังหวะการเพิ่มความเร็ว การแซง หรือออกตัวเมื่อได้สัญญาณไฟเขียว แบบไม่ต้องใช้ 0-100 นะครับ
เรียกว่า เทคโนโลยี ไฮบริดในด้านสมรรถนะนั้นสอบผ่านครับ ช่วยให้รถใช้งานได้คล่องตัว ง่าย และไม่ต้องกังวลกับจังหวะเปลี่ยนความเร็ว หรือเปลี่ยนช่องทาง
โดยอัตราสิ้นเปลืองที่ผมทำได้อยู่ประมาณ 21 กม./ลิตร แต่มีบางช่วงที่ลองดูสมรรถนะของไฮบริดว่าจะไปต่อได้แค่ไหน ก็ไปต่อได้เยอะครับ แต่แน่นอนอัตราสิ้นเปลืองก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่วนความเร็วสูงสุด ตามสเปคระบุไว้ที่ 170 กม./ชม.
ช่วงล่างด้านหน้าแมคเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลัง ทอร์ชั่น บีม หรือ คานเแข็ง เซ็ทออกมาใช้ได้ครับ การขับขี่ตลอดเส้นทาง รถนิ่ง การคุมรถทำได้ง่ายๆ สบายๆ จังหวะเปลี่ยนช่องทางด้วยความเร็วก็ยังจัดการได้ดี แต่การเซ็ทยังติดความนุ่มให้รู้สึกได้ ซึ่งก็ช่วยได้ในด้านการดูดซับแรงสั่นสะเทือน
เมื่อใช้งานในเส้นทางภูเขา เพราะทริปนี้มุ่งหน้าเชียงใหม่ ผมย้ายมาเป็นผู้โดยสารพร้อมกับนั่งพิมพ์งานไปด้วยจะรับรู้ได้ถึงการให้ตัวของตัวถังในจังหวะเข้าออกโค้งเร็วๆ อยู่บ้าง แต่ถามว่าเป็นปัญหาไหม ก็คงไม่ เพราะเห็นคนขับมันก็ไม่ได้คิดจะเบาคันเร่งแต่อย่างใด รถยังคงพุ่งไปข้างหน้าด้วความเร็ว
เพียงแต่รู้สึกว่าถ้าปรับเซ็ทอีกนิด จะได้อารมณ์สปอร์ตเต็มๆ เพราะด้านของระบบไฮบริดให้มาแล้ว
แต่ก็อย่างว่าแหละครับ การทำตลาดในบ้านเรา ก็คงต้องคิดหลายอย่าง พยายามหาจุดที่สมดุลกันมากที่สุด เพราะถนนไม่ได้เนียนเรียบทุกเส้นทางไป
ส่วนยางนั้น เอ็มจี 3 ใช้ขนาด 195/55 R16 ขระที่พวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) ทำงานแม่นยำใช้ได้ น้ำหนักก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
โดยรวมถือเป็นรถเล็กที่น่าสนใจ กับเทคโนโลยี ไฮบริดที่ค่อนข้างโดดเด่น ขับได้สนุกสำหรับคนเท้าหนัก และประหยัดสำหรับคนเท้าเบา ซึ่งก็จะเป็นอีกทางเลือกสำหรับใครที่ยังคิดว่ายังไม่พร้อมย้ายไปอีวี