MG4 Long Range ในเมืองก็คล่อง นอกเมือง อารมณ์สปอร์ตมาเต็ม
เอ็มจี ได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) ในตลาดแมส (mass) ด้วย MG ZS EV ตั้งแต่ปี 2562 หลังจากนั้น เอ็มจี ก็เสริมตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังเริ่มต้นเปิดสายประกอบในไทยช่วงต้นปีที่ผ่านมา
เอ็มจี เริ่มต้นประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) ในไทย รุ่นแรกคือ MG4 Electric อีวีที่เมื่อเปิดตัวครั้งแรกปลายปี 2565 ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
ส่วนการประกอบในประเทศ เอ็มจี เขย่าตลาดใหม่เล็กน้อย ทั้งเรื่องของรุ่นย่อย หรือรายละเอียดของออปชั่นบางอย่าง
โดย MG 4 มีจำหน่าย 3 รุ่นย่อยคือ
- MG4 D Standard Range ราคา 709,900 บาท
- MG4 X Standard Range ราคา 809,900 บาท
- MG4 V Long Range ราคา 889,900 บาท
และยังมีตัวแรงขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่นำเข้ามาจำหน่ายอีก 1 รุ่นคือ MG4 XPOWER ราคา 1,120,000 บาท
วันนี้ผมอยู่กับ รุ่น Long Range ครับ
โดย Long Range มาพร้อมกับแบตเตอรี 64 kWh เมื่อชาร์จเต็มสามารถขับขี่ได้ระยะทางสูงสุด 540 กิโลเมตร ตามาตรฐาน NEDC ซึ่งสูงกว่ารุ่น Standard Range ที่ใช้แบตเตอรีขนาดความจุ 49 kWh ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากรุ่นนำเข้าที่มีความจุ 51 kWh แต่ว่าระยะทางขับขี่ลดลงเล็กน้อยจาก 425 กิโลเมตร เหลือ 423 กิโลเมตร ตามมาตรฐน NEDC เช่นกัน
ส่วนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ระหว่างรุ่นนำเข้ามาเป็นรุ่นประกอบในประเทศหรือ CKD ก็เช่น กระจังหน้าใหม่ เพิ่มเติมที่ปัดน้ำฝนที่กระจกหลังมาให้ เพราะเชื่อว่าเป็นที่ต้องการในพื้นที่ใช้งานที่ฝุ่นควันเยอะ เปลี่ยน ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว ภายในเปลี่ยนจอกลางระบบสัมผัสให้ใหญ่ขึ้น จาก 10.25 นิ้ว เป็น 12.0 นิ้ว
และอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้เปลี่ยน แต่เพิ่มเติมคือ สีใหม่ที่อยู่กับวันนี้แหละครับ ร้อนแรง สดใส ทีเดียวกับสีส้ม Fizzy Orange
ผมว่าเอ็มจี 4 เป็นรถที่มีขนาดตัวถังน่าใช้ กะทัดรัด แต่ก็ไม่แล็ก มีความคล่องตัวในการขับขี่ ใช้งาน ด้วยความยาว 4,287 มม. กว้าง 1,836 มม. สูง 1,504 มม. ระยะฐานล้อ 2,705 มม. ส่วนการออกแบบพื้นที่ภายในห้องโดยสารก็ถือว่ากว้างขวางเพียงพอกับการเดินทาง นั่ง 4 คน สบายๆ นั่ง 5 คนก็ได้
ที่เด่นอีกอย่างก็คือ การเข้าออกที่สะดวก เพราะประตูที่ออกแบบมาให้เปิดได้กว้างมาก
MG 4 เป็นรถที่สร้างขึ้นแบบแพลทฟอร์ม อีวี เป็นรุ่นแรกของ เอ็มจี เรียกว่า NEBULA Pure Electric Platform และออกแบบ cell to pack หรือการใช้แบตเตอรีเป็นเหมือนหนึ่งในโครงสร้างแพลทฟอร์ม ทำให้เพิ่มความแข็งแกร่ง ลดการบิดตัว และยังมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ซึ่งส่งผลให้เป็นหนึ่งในจุดเด่นในด้านการขับขี่ รวมกับความสามารถในการกระจายน้ำหนักหน้า/หลัง แบบ 50/50
เมื่อครั้งเปิดตัวครั้งแรก MG4 ได้ชื่อว่าเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังคันแรกในคลาสเดียวกัน โดยมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร
- อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 7.5 วินาที
- ความเร็วสูงสุด 161 กิโลเมตร/ชั่วโมง
จุดเด่นของ MG4 คือ เป็นรถที่ขับสนุก ช่วงล่างที่เล่นกับอารมณ์สปอร์ตของผู้ขับขี่แบบไม่มีใครยอมใคร เกาะถนนนิ่งๆ เข้า-ออก โค้ง แม่นยำ แม้จะใช้ความเร็วค่อนช้างสูง
ช่วงล่างมีความกระด้างเล็กน้อย แต่ผู้ที่ชอบขับรถจะชอบแบบนี้ และการที่ศูนย์ถ่วงต่ำ การบาลานซ์น้ำหนักหน้าหลัง ทำให้มันมีความคล่องตัวสูงในทางโค้ง ยิ่งใครที่ชอบปรับเบาะแบบต่ำๆ จะยิ่งได้อารมณ์สปอร์ตยิ่งขึ้น
พวงมาลัยมีความแม่นยำ น้ำหนักดี โดยเลือกระดับได้ หากขับเร็ว หรือ ทางโค้งทางเขา ผมเลือกพวงมาลัยแบบ sport
แต่ถ้าปรับเรื่องของระยะฟรีอีกสักนิด จะสมบูรณ์มาก
นอกเหนือจากเส้นทางคดโค้ง ทางทั่วๆ ไป ผมก็ชอบอารมณ์ในจังหวะการเปลี่ยนช่องทางไปมาที่ต้องทำเกือบตลอดเวลา เพราะช่วงล่างนั้นนิ่งมาก ไม่มีอาการดื้อหรือดิ้น การโยนตัวก็น้อยมาก
อัตราเร่ง อยู่ในเกณฑ์ที่ดี อาจจะไม่ได้ร้อนแรงนักกับจังหวะกดคันเร่ง แต่ก็เพียงพอ และเมื่อความเร็วขยับขึ้นแล้ว ก็จะไหลได้อย่างต่อเนื่อง
MG 4 มีระบบความปลอดภัยหลายอย่างรวมๆ แล้ว 26 ระบบ รวมถึงระบบรักษารถให้อยู่ในช่องทาง หากล้อไปเหยียบเส้นแบ่งจราจร โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ปิดระบบได้หากใครไม่สะดวกใช้งาน
โดยรวมสำหรับการอยู่กับ MG4 Long Range วันกว่าๆ ผมว่ามันเหมาะกับคนที่ขอบรถที่ขับขี่ที่สนุก คล่องตัว ทั้งในเมืองที่ใช้ความเร็วไม่สูงมาก หรือออกนอกเมืองที่ใช้ความเร็วได้ เรียกว่าตอบสนองได้ทั้งชีวิตคนเมือง คนใช้รถในชีวิตประจำวัน หรือ คนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวครับ