‘e-Power’ ทางเลือกพลังงานใหม่ นิสสันผลิตครบ 1.5 ล้านคัน เร่งขยายตลาดใหม่
มีผู้พยายามคิดค้นพลังทางเลือกใหม่ๆ มาใช้มากขึ้นในหลายๆ ส่วน รวมถึงยานยนต์ซึ่งแต่ละปีทั่วโลกต้องใช้เชื้อเพลิง หรือ พลังงานต่างๆ ปริมาณมหาศาล โดยแหล่งพลังงานหลักคือเชื้อเพลิงจากฟอสซิล
สำหรับเชื้อเพลิงจากฟอสซิลที่ใช้กันมานาน หลายคนมองกันว่าในวันหนึ่งข้างหน้าแม้ยังไม่หมดไปจากโลก แต่การได้มานั้นมีความซับซ้อน มีความยากมากขึ้น และมีต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมมากขึ้นอีกด้วย
และไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องในอนาคต แต่ในยุคปัจจุบัน หลายคนก็มองในประเด็นนี้ว่าเชื้อเพลิงจากฟอสซิลเป็นหนึ่งในตัวการสำคญที่ทำให้เกิดปัญหาสภาวะแวดล้อม จึงพยายามหาพลังงานทดแทนมาใช้งาน หรือ อย่างน้อยก็คือหาแนวทางที่จะช่วยลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลลง
ในโลกยานยนต์สื่งที่ผู้คนพูดถึงกันมากคือ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV เนื่องจากเป็นรถที่ปล่อยมลพิษ (จากตัวรถ) เป็นศูนย์ และเมื่อบวกกับการมีผู้ผลิต อีวี เกิดขึ้นจำนวนมาก และต้นทุนการผลิตที่ลดลงมากเช่นกัน โดยเฉพาะชิ้นส่วนสำคัญอย่างแบตเตอรี ทำให้กระแสความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาขยายตัวอย่างน่าตกใจในหลายๆ ตลาดทั่วโลก
รวมถึงประเทศไทยที่เริ่มมีอีวีในตลาสแมส (mass market) ปี 2562 และเติบโตขึ้นต่อเนื่อง
การเติบโตชัดเจนจากปี 2564 ที่ยอดขายรวมประมาณ 2,000 คัน ไปยังปี 2565 ที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดเป็นประมาณ 9,600 คัน และก้าวกระโดดอีกครั้ง และเป็นครั้งสำคัญในปี 2566 ด้วยยอดจดทะเบียนมากกว่า 76,000 คัน
อย่างไรก็ตามในปี 2567 การเติบโตของอีวีดูเหมือนจะชะลอตัวในหลายๆ ตลาด รวมถึงประเทศไทยที่คาดว่าจะทำได้แค่ใกล้เคียงปีที่ผ่านมา ไม่ถึงกระดับ 100,000-130,000 คัน อย่างที่คาดการณ์กันไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี
และในช่วงเวลาที่อีวีได้รับความนิยมสูง คู่ขนานกันไปก็คือ การมองหาพลังงานทางเลือกอื่นๆ หรือ แนวทางอื่นๆ ด้วยเช่น แต่อาจจะูไม่ร้อนแรงนัก เนื่องจากกระแสของอีวีที่กลบความสนใจด้านอื่นๆ ของผู้บริโภค
พลังงานทางเลือกหรือแนวทางเลือกที่พูดที่ทำกันก่อนหน้านี้ เช่น ไฮโดรเจน หรือลูกผสมอย่างไฮบริด, ปลั๊ก-อิน ไฮบริด หรือ การสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้าติดไปกับรถยนต์ เช่น REEV (Range Extended Electric Vehicle) ซึ่งวันนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในหลายตลาด เพราะความสะดวกในการใช้งานที่มากกว่า
ในบ้านเรา มีรถพลังงานทางเลือกที่รู้จักกันคือ อีวี, ไฮบริด และปลั๊ก-อิน ไฮบริด และอีกชื่อหนึ่งที่นิสสันใช้กับรถของตนเอง อย่าง นิสสัน คิกส์ คือ อี-พาวเวอร์ (e-POWER) โดยช่วงแรกนิสสันพยายามสื่อสารว่าเป็นรถพลังงานไฟฟ้า เพราะการขับเคลื่อนนั้นใช้พลังงานไฟฟ้าไปขับมอเตอร์ 100% ขณะที่เครื่องยนต์ตัวเล็กๆ ที่ติดตั้งไว้มีหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้าเท่านั้น
ซึ่งหลักการก็จะคล้ายกับ REEV นั่นเอง เพียงแต่ อี-เพาวเวอร์ใช้แบตเตอรีลิเธียม ไอออน ขนาดเล็ก ทำให้ไม่สามารถชาร์จไฟเพื่อใช้งานช่วงเริ่มต้นได้เหมือนกับรถอย่าง REEV หรือ ปลั๊ก-อิน ไฮบริด
หรือถ้าจะพูดตามหลักการ อี-พาวเวอร์ ก็คือ ไฮบริดรูปแบบหนึ่ง คือ “ซีรีส์ ไฮบริด” นั่นเอง
จริงๆ แล้วในเวทีโลก เทคโนโลยี อี-เพาเวอร์ ของนิสสัน นั้นมีอยู่ในรถหลายรุ่น (รวมถึง “Serena” ที่ผู้บริโภคชาวไทยกำลังลุ้นว่านิสส้ันจะทำตลาดหรือไม่) และได้รับการยอมรับไม่น้อย
โดยล่าสุด นิสสัน มอเตอร์ แถลงความสำเร็จจากโยโกฮาม่า โดยระบุว่า ยอดการผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ e-POWER ทั่วโลกมีจำนวนมากกว่า 1.5 ล้านคัน เพื่อจำหน่ายใน 68 ตลาดทั่วโลก เมื่อนับถึงสิ้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา
นิสสันระบุว่า e-POWER ที่เป็นเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของนิสสัน ได้รับการยอมรับด้วยเทคนิคการใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาดเล็ก และแบตเตอรี่แบบ ลิเธียมไอออนเพื่อจ่ายกระแสไฟให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนล้อ ส่งผลให้ผู้ขับขี่ได้รับประสบการณ์เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า 100% ทั้งเรื่องของอัตราเร่งตอบสนองอย่างรวดเร็ว และความเงียบของห้องโดยสาร
นิสสันเปิดตัว e-POWER ครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อปี 2559 กับ Note e-POWER จากนั้นรก็ขยายไปยังรถยนต์อเนกประสงค์อย่าง Kicks และ X-Trail รวมถึงมินิแวนอย่าง Serena
ในปีงบประมาณ 2566 รถยนต์นิสสันที่จำหน่ายในญี่ปุ่น 42.6% ใช้เทคโนโลยี e-POWER
อีกตลาดหนึ่งที่น่าสนใจคือ จีน ซึ่ง e-POWER เริ่มวางจำหน่ายในปี 2564 กับรถรุ่น Sylphy e-POWER และขณะนี้ขยายไปสู SUV X-Trail รุ่นล่าสุดอีกด้วย
ในยุโรป X-Trail และ Qashqai เวอร์ชัน e-POWER เริ่มต้นทำตลาดในปี 2565 โดยมียอดขายรวมมากกว่า 100,000 คัน ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ขณะที่ตลาดใหม่ๆ นิสสันวางแผนที่จะเปิดตัว e-POWER ในสหรัฐและแคนาดา ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2569
นิสสันระบุว่า จะยังคงพัฒนาความน่าสนใจ และความสามารถในการแข่งขันของเทคโนโลยี e-POWER ต่อไป เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทั่วโลก