มาแล้ว G-Class EV ‘G580’ มอเตอร์ 4 ตัว แรงบิด 1,164 Nm ค่าตัวไม่ถึง 10 ล้าน
เมอร์เซเดส-เบนซ์ จี-คลาส (Mercedes-Benz G Class) รถที่ได้ฉายาว่า King of Off-Road เป็นรถในสายที่ผู้ชื่่นชอบเอสยูวี ชอบอารมณ์สปอร์ต และดุดัน อยากจะได้มาขับสักคัน
Mercedes-Benz G-Class โลดแล่นอยู่บนโลกออฟโรดมา 45 ปี และยังคงมีบทบาทต่อไป พร้อมกับความหลากหลายที่เพิ่มขึ้น รับกับกระแสความสนใจของโลกยานยนต์ที่หลากหลายมากขึ้น และหนึ่งในนั้นคือ พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ และครั้งนี้ถึงเวลาของตลาดประเทศไทย
ซึ่งล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ประกาศเสริมทัพไลน์อัพยนตรกรรมระดับ Top-End Luxury 6 รุ่น ครอบคลุมทั้งแบรนด์ Mercedes-Maybach และรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในกลุ่ม G-Class, S-Class และ V-Class โดยจัดแสดงที่ เดอะ ฟอรัม แอท วัน แบงค็อก (One Bangkok Forum) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Art of Cultivated Luxury” นำเสนอความงดงามของศิลปะร่วมสมัยผสานเข้ากับยนตรกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และหนึ่งในนั้่นคือ Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology
G-Class EV รถทรงกล่องที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นคันนี้ มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว แยกติดตั้ง 4 ล้อ ทำให้แต่ละล้อมีอิสระ และทำให้สามารถรองรับการรูปแบบการขับขี่ที่หลากหลาย
เช่น การขับขี่แบบ off-road จะมีระบบ G-TURN ซึ่งเป็นการกลับรถรูปแบบใหม่ที่สามารถหมุนรถได้ 720 องศา หรือ 2 รอบ ด้วยการให้ล้อหมุนไปทิศทางตรงกันข้ามกันได้ ช่วยให้ตัวรถสามารถหมุนตัวกลับได้ในทันที เป็นประโยชน์อย่างมากในการเดินทางในพื้นที่เล็ก ๆ แคบ ๆ
และระบบการเข้าโค้งแบบ G-STEERING เพื่อลดรัศมีวงเลี้ยวให้แคบลง โดยสั่งการให้แต่ละล้อเพิ่มหรือลดกำลังอย่างอิสระตามสถานการณ์ด้วยความเร็วไม่เกิน 25 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แต่ย้ำว่าทั้ง 2 ระบบนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ จำกัดให้จี คลาส อีวี ทำงานได้บนพื้นถนนที่เป็น off-road แบบถนนทรายหรือถนนเปียกเท่านั้น
ด้านสมรรถนะ
- กำลังสูงสุด 587 แรงม้า
- แรงบิดสูงสุด 1,164 นิวตันเมตร
- อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.7 วินาที
- ความเร็วสูงสุดได้ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แบตเตอรีความจุ 116 kWh รองรับการขับขี่สูงสุด 473 กิโลเมตร (WLTP) ต่อการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 1 ครั้ง
การชาร์จ
- ชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC charge) สูงสุด 200 kWh ใช้เวลาชาร์จ 32 นาทีจาก 10-80%
- การชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ชาร์จจาก 0 – 100% ในเวลา 11 ชั่วโมง 45 นาที
โครงสร้างตัวถังออกแบบมาให้มีความแข็งแรงโดยใช้เหล็กกล้าที่หนากว่า 3.4 มิลลิเมตร
เพื่อรองรับการใช้งานในสภาวะต่าง ๆ และลดการบิดตัวของห้องโดยสาร
และใต้ท้องรถ เพื่อรองรับการใช้งานโดยเฉพาะการใช้งานออฟโรดเป็นพิเศษ G 580 with EQ Technology มี skid plate เพื่อปกป้องแบตเตอรี่แบบ high-voltage ที่สร้างขึ้นจาก Carbon-fibre ที่หนาถึง 3 ซม.
โปรแกรมการขับขี่ หรือ ELECTRIC DYNAMIC SELECT มีให้เลือก 5 รูปแบบ แบ่งเป็น
- การขับขี่ on-road 3 โปรแกรม คือ Comfort, Sport และ Individual
- การขับขี่ off-road 2 โปรแกรม คือ Trail และ Rock
ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED สามารถตรวจจับทางโค้งและมุมอับสายตาได้แม่นยำ ทำงานร่วมกับฟังก์ชัน ULTRA RANGE Highbeam เพื่อปรับความสว่างของไฟหน้าให้ส่องได้ไกลกว่า 650 เมตร อัตโนมัติในสถานการณ์ที่เหมาะสม ช่วยให้การขับรถทางไกลนอกเมืองเป็นไปสะดวก ปลอดภัยยิ่งขึ้นจากทัศนวิสัยที่ดีขึ้น
ระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (ILS - Intelligent Light System) ปรับเปลี่ยนการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์การขับขี่และรูปแบบของถนน
ระบบ ALS (Active Light System) ปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย
ระบบ Cornering Light เพิ่มการส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง
ระบบ Adaptive Highbeam Assist ปรับไฟสูงอัตโนมัติไม่ให้รบกวนสายตาของผู้ขับขี่เลนตรงข้าม
ติดตั้งล้ออัลลอย 5-twin-spoke ขนาด 18 นิ้ว พ่นสี high-gloss black
ช่วงล่างแบบ Suspension with adaptive damping adjustment สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการตอบสนองผ่านโหมดการขับขี่ต่าง ๆ รวมถึงปรับตาม differential locks ที่กำลังใช้งาน ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง แต่ปรับความสูงต่ำไม่ได้ เพราะไม่ใช่ช่วงล่างถุงลม
เมื่อขับขี่บนถนนเรียบ จะปรับให้มีการตอบสนองต่ำ เพื่อลดแรงสะเทือนและเสียงดังที่เกิดจากยาง
เมื่อขับขี่บนถนนขรุขระ จะปรับช่วงล่างให้ตอบสนองสูงขึ้น เพื่อความรู้สึกนุ่มนวลและสะดวกสบาย
ระบบปฏิบัติการใส่ตัวใหม่ล่าสุดคือ MBUX7 ทำงานโดยใช้ AI ที่จะจดจำรูปแบบการใช้งาน และปรับการตั้งค่าให้เหมาะสมกับผู้ขับขี่แต่ละคน
จอความละเอียดสูงพร้อมระบบควบคุมแบบสัมผัส ขนาด 12.35 นิ้ว และรองรับการสั่งงานด้วยเสียงเจเนอเรชันใหม่ได้ 27 ภาษา
ระบบเสียง Burmester® 3D surround sound system ลำโพงคุณภาพสูงจำนวน 18 ดอก DSP 16 amplifier channels รอบห้องโดยสารด้วยกำลังขับขนาด 760 วัตต์ และมีโหมดเสียงพิเศษแบบ Pure & 3D-Sound ที่ Burmester® ที่ออกแบบมาสำหรับ G-Class ใหม่โดยเฉพาะ รวมถึงรุ่นเครื่องยนต์
ระบบความปลอดภัย Assistance Package มีหลายระบบ เช่น
- ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC)
- ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องจราจร (Active Lane Keeping Assist) Active Steering Assist
- ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Active Blind Spot Assist)
- ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย (Active Steering Assist)
- Parking Package พร้อมกล้องรอบคัน 360°
นอกจากนั้น จี-คลาส ใหม่ รวมถึงรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ ยังเพิ่มฟังก์ชั่นอื่น ๆ เข้ามา เช่น กุญแจ KEYLESS-GO ทั้ง 4 บาน เป็นครั้งแรกของ จี-คลาส ที่ไม่ต้องใช้มือกดกุญแจในการเปิด-ปิด ประตู
รวมถึงระบบระบายแรงดันอากาศภายใน ทำให้การปิดประตู จี-คลาส ทำได้ง่ายขึ้น แต่แฟนๆ King of Off-Road ไม่ต้องห่วงว่าเสน่ห์ดิบ ๆ จากการปิดประตูจะหายไป เพราะมันยังคงมีเสียงดังปึงปัง และออกแรงเยอะกว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่นอื่นๆ อยู่ดี แต่มันปิดง่ายขึ้นเท่านั้นเอง
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทยเปิดตว Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology 2 รุ่น คือ
- STANDARD ราคาเริ่มต้น 9,500,000 บาท
- EDITION ONE ราคาเริ่มต้น 12,200,000 บาท (ภาพประกอบทั้งหมดเป็นรุ่นนี้)
สิ่งที่ได้เพิ่มเติมใน EDITION ONE เมื่อเทียบกับ STANDARD เช่น
ชุดแต่งภายนอกรอบคันแบบ AMG Bodystyling ชุดแต่ง Night Package และ MANUFAKTUR logo package in black โดยจะมีสัญลักษณ์รูปตัว G เพื่อสื่อถึงไอคอนิกของ G-Class ทุกตำแหน่ง เช่น มือจับประตู ไฟส่องพื้น ด้านหลังที่เก็บสัมภาระ
ด้านข้างของตัวรถตกแต่งด้วยสีเงินและสีน้ำเงิน กันชนหน้าและคาลิปเปอร์ตกแต่งด้วยสีน้ำเงินเช่นกัน ล้ออัลลอย AMG 10-spoke ขนาด 20 นิ้ว
ภายในตกแต่งแบบ AMG Interior เบาะนั่งทูโทนตัดสลับสีเงิน และเดินด้วยด้ายสีน้ำเงินทั้งคัน พร้อมกับ Trim Carbon-fibre แบบพิเศษ ที่ตกแต่งด้วยสีน้ำเงิน รวมถึงการเพิ่ม Active Multi Contour Seat ของเบาะนั่งคู่หน้า