เมอร์เซเดส-เบนซ์ เสริมตลาด อีวี เปิดตัว ท็อป-เอ็นด์ ‘มายบัค อีคิวเอส’
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) แม้ว่าตลาดปีนี้จะไม่โดดเด่นเหมือนปีที่ผ่านมา และคาดว่ายอดรวมจะใกล้เคียงกับปี 2566 ที่มียอดประมาณ 7.6 หมื่นคัน แต่ก็ยังคงมีความเคลื่อนไหวที่โดดเด่นในตลาด
การชะตัวของตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) ส่วนหนึ่งมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่ยังสูง จากปัญหาหนี้เสีย หนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มในการปล่อยสินเชื่อมากกขึ้น
รวมถึงการที่ลูกค้ากลุ่มที่พร้อมซื้อมากที่สุด หรือ first adopter ซื้อรถไปแล้วจำนวนมากในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ตลาดก็ยังเห็นการรุกหนักของอีวี ทั้งผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือแบรนด์ใหม่ โดยเฉพาะจากจีนที่ช่วงปลายปีจะมีรถและแบรนด์เปิดตัวไม่น้อย เช่น บีวายดี ที่จะเปิดตัว ซีไลอ้อน เซเว่น (Sealion 7) เสริมตลาดรถเอสยูวี จีเอซี ไออ้อน เปิดตัว ไออ้อน วี (AION V) ฉางอาน กับ ดีพอล อี 07 (Deepal E07)
ส่วนแบรนด์ใหม่ เช่น จีลี (Geelee) ที่เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน มหกรรมยานยนต์ หรือ มอเตอร์เอ็กซ์โป ที่จะเริ่มต้นขึ้นวันที่ 29 พ.ย. นี้ และคิงลอง (King Long) ที่จะเปิดตัวรถปิกอัพ อีวี ในงานมหกรรมยานยนต์เช่นกัน
แต่ขณะเดียวกันฝั่งยุโรป แม้จะมีตลาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีความน่าสนใจเช่นกัน กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่เปิดตัว มายบัค อีวี ซึ่งเป็นอีวี รุ่นแรกของมายบัค รหัสรถพรีเมียมของเมอร์เซเดส-เบนซ์
ปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำตลาดอีวี หลายรุ่น และเป็นแบรนด์พรีเมียมแบรนด์เดียวที่ประกอบ อีวี ในประเทศ ที่โรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ ย่านสำโรง คือ EQS และ EQS SUV ซึ่งเป็นเรือธงฝั่งอีวีของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ขณะที่ มายบัค ถือเป็นแบรนด์ที่อยู่เหนือไปอีกขั้น
นอกจาก EQS, EQS SUV เมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็ยังทำตลาดรถรุ่นอื่น เช่น EQE, EQE SUV, EQE AMG และ EQB
สำหรับ Mercedes-Maybach EQS 680 SUV ที่เปิดตัว มาพร้อมกับแบตเตอรีขนาดความจุ 118 kWh สามารถใช้งานได้ระยะทางสูงสุด 615 กิโลเมตร ต่อการขาร์จไฟ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับการใช้งานจริง ซึ่งระยะทางดังกล่าว น่าจะตอบโจทย์การใช้งานได้สะดวกมากขึ้น
เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ จากมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่เ่พลาหน้าและเพลาหลัง
- กำลังสูงสุด 658 แรงม้า
- แรงบิดสูงสุด 950 นิวตันเมตร
- อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.4 วินาที
- ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วนรายละเอียดเด่นๆ ของ Mercedes-Maybach EQS 680 SUV เช่น ระบบไฟฟ้าแบบ ดิจิทัล ไล์ ที่สามารถปรับความสว่างได้อัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมและการจราจร ประตูแบบ Soft Close และประตูไฟฟ้าทั้ง 4 บาน สามารถสั่งปิด-เปิด ได้ด้วยการใช้สัญญาณมือ
และเป็นครั้งแรกที่มาพร้อมระบบ KEYLESS-GO Convenience Package Plus สามารถเปิด-ปิดและควบคุมประตูได้ทั้งบานคู่หน้าและคู่หลัง โดยประตูไฟฟ้าสามารถทำงานได้แม้จะอยู่บนทางลาดชัน และทำงานร่วมกับระบบแจ้งเตือนอันตรายก่อนการเปิด-ปิดประตูรถ
มีระบบล้อหลังเลี้ยวได้ 10° โดยจะเลี้ยวไปในทิศางตรงข้ามกับล้อหน้าที่ความเร็วต่ำ ทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้น วงเลี้ยแคบลง และเลี้ยวในทิศทางเดียวกับล้อหน้าที่ความเร็วสูง ทำให้รถทรงตัวและขับขี่ในทางโค้งได้มั่นคงยิ่งขึ้น
ขณะที่ภายในห้องโดยสาร ติดตั้งหน้าจอ MBUX Hyperscreen ที่ยาวต่อเนื่องกัน 56 นิ้ว ออกแบบตามแนวคิด Zero Layer concept และกระจกป้องกันรอยขีดข่วนแบบแผ่นเดียวต่อเนื่องตลอดทั้งหน้าจอ โดยแบ่งการใช้งานเป็น 3 ส่วน ได้แก่
- หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LED matrix backlighting ขนาด 12.3 นิ้ว
- หน้าจอมอนิเตอร์ตรงกลางแบบ OLED ขนาด 17.7 นิ้ว
- หน้าจอฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า (Co-driver Display) แบบ OLED ขนาด 12.3 นิ้ว
ซึ่งผู้โดยสารด้านหน้าสามารถใช้หน้าจอ Co-driver Display ช่วยเหลือผู้ขับขี่ โดยสามารถตั้งค่า ตรวจสอบสถานะต่าง ๆ ของรถ ค้นหาแผนที่ และใช้งานสื่อบันเทิงได้โดยไม่รบกวนผู้ขับขี่
ระบบปฏิบัติการ MBUX เจเนอเรชันที่ 2 ภายใต้ระบบ NTG7 รองรับคำสั่งเสียงได้ 27 ภาษา
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนังแนปป้า เบาะนั่งมาพร้อมระบบนวดกว่า 10 โปรแกรม ระบบปรับอุณหภูมิเบาะทั้งแบบอุ่นและแบบเย็น ระบบกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก เช่น PM 2.5
สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง มีหน้าจอแบบ MBUX High-End 2 หน้าจอ ขนาด 11.6 นิ้ว ควบคุมด้วยระบบสัมผัสแบบมัลติ ทัช Multi-ที่ใช้งานเว็บเบราว์เซอร์หรือ YouTube ได้ง่าย สามารถเล่นเสียงผ่านเครื่องเสียงภายในรถ หรือผ่านหูฟังแบบบลูทูธ
และยังมี MBUX rear tablet หน้าจอขนาด 7.4 นิ้ว แบบ HD-resolution Display สามารถสลับการใช้งานได้ระหว่าง MBUX และ Android โดยแท็บเล็ตจะเชื่อมต่อและควบคุมหน้าจอต่าง ๆ ภายในรถผ่านสัญญาณ Wi-Fi สามารถควบคุมการเปิด-ปิดม่าน ระบบปรับอากาศ ระบบ climate seat และระบบนวดได้อีกด้วย
Mercedes-Maybach EQS 680 SUV ยังมีตู้เย็นบริเวณด้านหลังที่เท้าแขนของผู้โดยสารตอนหลัง ความจุ 10 ลิตร โดยปรับอุณหภูมิได้ 7° ถึง 1° เซลเซียส แช่แชมเปญได้ 2 ขวด พร้อมที่วางแก้วแชมเปญสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
ระบบเสียงเบอร์เมสเตอร์ 4D ลำโพง 15 ดอก พร้อม Dolby Atmos หูฟังไร้สายความละเอียดสูง พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation
โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 12.5 ล้านบาท