ลอง Car of The Year ‘เอ็มจี 3 ไฮบริด พลัส’ รถเล็ก อารมณ์สปอร์ต
เอ็มจี เสริมตลาดในปีนี้ที่น่าสนใจ จากการเปิดตัวรถไฮบริด "เอ็มจี3 ไฮบริด พลัส" (MG3 Hybrid+) ซึ่งตอบโจทย์ทั้งด้านความประหยัด และสมรรถนะ ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่าย
ปี 2567 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป มีรถใหม่ ๆ หรือรุ่นปรับโฉมเปิดตัวกันมากมาย และหลากลายรูปแบบ หลากหลายเทคโนโลยี-พลังงาน ทั้งที่ตลาดรถยนต์โดยรวมยังคงติดลบอย่างต่อเนื่อง
และช่วงส่งท้ายปี ผมปิดท้ายกับรถเล็กที่ราคาเข้าถึงง่าย แต่เป็นรถที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคไม่น้อย และที่สำคัญยังเป็นรถที่คว้ารางวัล THAILAND CAR OF THE YEAR 2024 ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) อีกด้วย นั่นก็คือ "เอ็มจี 3 ไฮบริด พลัส" (MG3 Hybrid+)
แม้จะเป็นรถเล็กในกลุ่ม บี-เซ็กเมนต์ แต่เอ็มจีก็เคลมว่ามีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในตลาด
ผมว่าสิ่งที่ทำให้ เอ็มจี 3 ไฮบริด พลัส ได้รับการตอบรับ รวมถึงคว้ารางวัลแห่งปีมาได้ มาจากทั้งเรื่องของการตอบสนองที่หลากหลายทังเรื่องของความประหยัด สมรรถนะ ความสามารถในการขับขี่ควบคุม และเมื่อเทียบกับราคาก็ถือว่าสมเหตุสมผล
เอ็มจี 3 ไฮบริด พลัส มีความยาวตัวถัง 4,113 มม. กว้าง 1,797 มม. สูง 1,502 มม. ระยะฐานล้อ 2,570 มม. ความสูงใต้ท้องรถ (ground clearance) 117 มม.
พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายความจุ 293 ลิตร และหากพับเบาะนั่งแถวที่หลังลง จะเพิ่มเป็น 1,037 ลิตร
ออปชั่นหลัก ๆ เช่น ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ แอลอีดี พร้อมระบบเปิด-ปิด และไฟสูง อัตโนมัติ ไฟขับขี่เวลากลางวัน กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวปรับไฟฟ้า และพับอัตโนมัติ ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบอัตโนมัติ ใบปัดน้ำฝนด้านหลัง กระจกไฟฟ้าแบบวันทัชด้านผู้ขับขี่
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ ปุ่มเลือกดูข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พวงมาลัยปรับได้เฉพาะขึ้น-ลง แต่หาตำแหน่งเหมาะสมกับการควบคุมไม่ยาก ด้วยการปรับเบาะ
เบาะผู้ขับขี่ปรับแมนนวล 6 ทิศทาง เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง มีที่พักแขนด้านหน้า
หน้าจอแสดงข้อมูลขับขี่ดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว จอมอนิเตอร์กลางแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ลำโพง 6ดอก รองรับการเชื่อมต่อ แอ๊ปเปิ้ล คาร์เพลย์ และแอนดรอยด์ ออโต้ แบบไร้สาย
ระบบปรับอากาศดิจิทัล ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และระบบกรองอากาศ PM 2.5
กล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition เบรกมือไฟฟ้า ออโต้เบรกโฮลด์ เบรกเอบีเอส ระบบกระจายแรงเบรก ระบบเสริมแรงเบรก ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถลระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ (TJA) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA)ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง ระบบเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ รระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง ถุงลมคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลม
ราคาจำหน่ายปัจจุบัน
- รุ่น D ราคา 579,900 บาท
- รุ่น X ราคา 619,900 บาท
ราคานี้ ปรับขึ้นจากช่วงเปิดตัวที่เป็นราคาพิเศษ 1,000 คันแรก 20,000 บาท ซึ่งเทียบกับสมรรถนะ และออปชั่น ถือเป็นราคาที่น่าสนใจครับ
พูดถึงเรื่องความประหยัด ตามอีโค สติกเกอร์ ระบุว่าอยู่ที่ 26.2 กม./ลิตร และสำหรับการลองใช้งานจริงทั้งในเมือง นอกเมือง โดยรวมมีทั้งทั้งความเร็ว มีทั้งจราจรหนาแน่น รถติดจอดนิ่งๆ รวมแล้วกว่า 300 กม.ได้ตัวเลขกว่า 19 กม./ลิตร
และเมื่อลองจับระยะทางย่อยๆ 64 กม. เป็นการใช้งานในเมืองหลักๆ คือระหว่างย่านฝั่งธนฯ กับ บางนาตราด มีทั้งราบที่ความเร็วไม่สูงนักกับทางด่วนและถนนบางนา-ตราด ที่ทำความเร็วได้ ซึ่งได้ตัวเลขที่น่าสนใจคือ 22.2 กม./ลิตร
ทั้งนี้ระบบไฮบริด ของเอ็มจี ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 102 แรงม้า แรงบิด 128 นิวตันเมตร
มอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร
เมื่อทำงานร่วมกันได้กำลังสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร
ซึ่งระบบการทำงานของระบบไฮบริดน่าสนใจ ทำงานละเอียด เช่น ช่วงออกตัว หรือการขับขี่ที่ความเร็วต่ำๆ ประมาณไม่เกิน 30 กม./ชม. จะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์อย่างเดียว ซึ่งแบตเตอรีที่มีขนาด 1.83 kWh ถือว่ารองรับการสำรองพลังงานไฟฟ้าได้ดี
จากนั้นเมื่อความเร็วขึ้นไประดับไม่เกิน 50 กม./ชม. ซึ่งเป็นความเร็วในการขับขี่ช่วงจราจรหนาแน่น ระบบก็ยังเน้นให้ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก โดยเครื่องยนต์จะทำงานเมื่อพลังงานในแบตเตอรีลดลงจนไม่เพียงพอ เพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้าป้อนให้กับมอเตอร์ไฟฟ้า เรียกว่าเป็นซีรีส์ ไฮบริด หรือเมื่อความเร็วขึ้นถึงระดับ 80 กม./ ชม.ซึ่งเป็นการทำความเร็วที่เพิ่มขึ้น เครื่องยนต์ก็ยังคงทำหน้าที่ปั่นไฟป้อนให้กับมอเตอร์ และส่วนที่เหลือก็ส่งไปเก็บไว้ในแบตเตอรี
และหากเป็นการเดินทางด้วยความเร็วคงที่ ระบบจะสั่งให้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนล้อโดยตรง เพราะมองว่าประหยัดกว่าการทำงานแบบซีรีส์ ส่วนพลังงานที่เหลือก็จะส่งเข้าไปเก็บในแบตเตอรี
ส่วนจังหวะเร่งแซง จังหวะขึ้นเนินที่ต้องการกำลังมากเป็นพิเศษ จะปรับเข้าสู่การทำงานแบบพาราเลล ไฮบริด เครื่องยนต์กับมอเตอร์ร่วมด้วยช่วยกันทำงาน
นั่นเป็นหลักการทำงานคร่าว ๆ ของ เอ็มจี 3 ไฮบริด พลัส ครับ และหากการขับขี่จริง ใครที่เลี้้ยงคันเร่งดี ๆ นุ่มนวล จะเพิ่มความประหยัดได้ชัดเจนเลยครับ
โดยการตอบสนองของระบบไฮบริด จังหวะการเพิ่มความเร็ว เร่งแซง ทำได้รวดเร็วทีเดียว และหากเลือกโหมด sport ก็ยิ่งเพิ่มความกระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น ซึ่งการออกแบบระบบไฮบริดที่ให้มอเตอร์ทำงานหลายช่วง ช่วยให้รถมีอารมณ์สปอร์ตในการขับขี่
โดยโหมดการขับขี่มีให้เลือก 3 โหมด ได้แก่ Eco, Standard และ Sport ส่วนระบบชาร์จไฟกลับอย่าง KERS ปรับเลือกได้ 3 ระดับ
อีกจุดหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของ เอ็มจี 3 ไฮบริด พลัส คือ ช่วงล่างที่เซ็ตมาได้ดี โดยเฉพาะเมื่อขับทางโค้ง หรือ ทางเขา รถจะรีดจุดเด่นออกมาชัดเจน เป็นรถที่แม่นกับโค้ง เข้า-ออก ได้เร็ว ทำความเร็วได้ดี ให้อารมณ์สปอร์ต บวกกับการเป็นรถที่มีขนาดกะทัดรัด ทำให้ขับขี่ได้คล่องตัว สนุก
ทั้งนี้ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ แมคเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลัง ทอร์ชั่น บีม หรือ คานเแข็ง ยางขนาด 195/55 R16 โดยรวมมีความนุ่มนวลระดับกลาง ๆ มีความกระด้างให้รู้สึกได้บ้าง แต่ก็ได้มาในเรื่องของอารมณ์สปอร์ตในการขับขี่
เบรกเป็นดิสค์เบรก 4 ล้อ ด้านหน้าเป็นแบบมีช่องระบายความร้อน พวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) ทำงานแม่นยำใช้ได้ น้ำหนักก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
เซ็ทออกมาใช้ได้ครับ การขับขี่ตลอดเส้นทาง รถนิ่ง การคุมรถทำได้ง่ายๆ สบายๆ จังหวะเปลี่ยนช่องทางด้วยความเร็วก็ยังจัดการได้ดีแต่การเซ็ทยังติดความนุ่มให้รู้สึกได้ซึ่งก็ช่วยได้ในด้านการดูดซับแรงสั่นสะเทือน
ส่วนการใช้งานบนถนนทั่วไปรถนิ่งคุมง่าย อาจจะมีบางจังหวะที่รับรู้ถึงแรงปะทะของลมบ้าง แต่ไม่มีผลต่อการควบคุมรถครับ