BYD Shark 6 ปิกอัพ PHEV ช่วงล่างพร้อมลุยแทรค

บีวายดี (BYD) เข้ามาสร้างสีสันในตลาดรถยนต์อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันขึ้นแท่นเป็นผู้นำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) แต่อย่างไรก็ตาม เรเว่ ออโตโมทีฟ ผู้ทำตลาดในไทยพูดอยู่เสมอว่า การทำตลาดจะต้องมีความหลากหลาย ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ รวมถึงความหลากหลายของพลังงาน 

ที่ผ่านมาจึงได้เห็นการเปิดตัวรถใหม่เข้ามาเสริมตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพลังงานใหม่อย่างปลั๊ก-อิน ไฮบริด หรือที่บีวายดีเรียกว่า DM-i ใน ซีไลอ้อน 6

บีวายดีมีแผนที่จะเปิดตัวรถอีกหลายรุ่นตามมา ซึ่งปีนี้รุ่นแรก ๆ น่าจะได้เห็น แอทโต 2 (ATTO 2) เอสยูวี กลุ่ม บี-เซ็กเมนต์ 

อีกหนึ่งรุ่นที่บีวายดีสนใจทำตลาดคือ รถปิกอัพ เพราะมองว่าเป็นตลาดใหญ่ ตลาดสำคัญของไทย แม้ปีที่ผ่านมาจะติดลบรุนแรง และสัดส่วนตลาดเคยเฉลี่ย ประมาณ 50% ลดลงเหลือ 30% ก็ตาม 

 ที่ก่อนหน้านี้เคยนำ ชาร์ค 6 (BYD SHARK 6) มาโชว์ตัว แต่ยังไม่ได้ระบุว่าจะทำตลาดเมื่อไร แต่คาดว่าไม่ทันปีนี้ แต่ล่าสุดบีวายดีนำปิกอัพตัวเก่งม่าให้ได้ลองขับกัน เป็นเวอร์ชั่นที่จำหน่ายในออสเตรเลีย 

เป็นเวอร์ชั่น ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ทำงานร่วมกับมอเตอร์ 2 ตัว สำหรับด้านหน้า 1 ตัว และด้านหลัง 1 ตัว ขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) โดยล้อหลังจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ไม่ต้องมีเพลาจากเครื่องยนต์ที่อยู่ด้านหน้า ส่งผลให้พื้นห้องโดยสารเป็นแบบเรียบไม่ต้องมีซุ้มเพลา และการจัดวางแบตเตอรีทำได้ง่าย โดยการจัดวางเป็นแบบ Cell to Body

เบลด แบตเตอรี ความจุ 29.58 kWh รองรับการขับขี่ด้วยไฟฟ้าสูงสุด 100 กม. ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง (NEDC) ขณะที่การชาร์จ ดีซี 30-80% ใช้เวลา 25 นาที

ระบบไฮบริดให้กำลังรวมสูงสุด 430 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร แรงทีเดียวครับ แต่การกระจายกำลังโดยรวมถือว่าทำได้ดี ในการขับขี่ในสนามพีระ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต ที่มีจังหวะการเปลี่ยนความเร็ว การใช้เบรก ใช้คันเร่งอยู่บ่อยครัั้ง

จังหวะออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง อาจมีจังหวะที่การเชื่อมต่อกำลังระหว่างมอเตอร์ 2 ตัว และเครื่องยนต์ที่สะดุดให้รู้สึกได้บ้าง แต่ก็แค่เล็กน้อย และไม่มีปัญหาอะไร 

จังหวะการใช้คันเร่งช่วงอื่น ๆ โดยเฉพาะช่วงออกจากโค้งต่าง ๆ ทำให้ดี แต่วิศวกรน่าจะเซ็ทมาให้มีความนุ่มนวลในการไต่ความเร็วขึ้นไป ไม่ได้แบบจี๊ดจ๊าด ล้อปั่นฟรี ซึ่งก็น่าจะเหมาะกับรถปิกอัพ ที่มีตัวถังสูง ระยะใต้ท้องรถสูง (200 มม.)

แต่ที่ผมชอบสิ่งหนึ่งคือ ช่วงล่าง ซึ่งเป็นแบบปีกนกคู่ (Double Wishbones) ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ไม่ใช่แหนบ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อจะทำตลาดในไทยคงต้องใช้เวลาในการดีไซน์ช่วงล่างหลังใหม่ หรือจะยอมเข้าหมวดภาษีรถยนต์นั่ง แล้วไปดูที่รายละเอียดของปลั๊ก-อิน ไฮบริด ว่าจะได้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง ติดตั้งล้ออัลลอยและยางขนาด 265/65 R18

ช่วงล่างของรถที่มีความสูงทำได้ดี แม่นยำกับโค้งของสนาม ไม่ว่าจะเป็นโค้งยูเทิร์นหลังเขา โค้งกว้าง ๆ ก่อนไต่ขึ้นโค้ง ไออาร์ซี หรือ โค้ง S อีก 2 โค้ง รวมถึง สเตชั่นที่ตั้งเพิ่มเข้ามา อย่างสลาลอม หรือเลนเชนจ์ 

ยอมรับว่าแม้จะเป็นรถที่มีขนาดตัวถังใหญ่โต (ยาวxกว้างxสูง) 5,457 x 1,971 x 1,925 มม. ระยะฐานล้อ 3,260 มม. แต่การควบคุมด้วยความเร็วผ่านเส้นทางต่างๆ เหล่านี้ทำได้คล่องแคล่ว แม้ว่าจะรู้สึกได้ถึงการโยนตัวของตัวถัง แต่หน้ารถแม่นกับเส้นทาง ด้านท้ายแม้บางช่วงที่ใช้ความเร็วสูง ๆ อาจจะมีอากาสสไลด์ไปบ้าง แต่ก็กลับสู่ภาวะปกติได้รวดเร็ว ช่วยให้รถขับได้สนุกในแทรค และมองว่าการขับขี่ในการใช้งานจริง น่าจะสบาย ๆ

ผมว่าการเป็นปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่มีน้ำหนักแบตเตอรีช่วยลดจุดศูนย์ถ่วง มีผลต่อความเสถียรของตัวถังไม่น้อย 

ก็ต้องรอดูเวอร์ชั่นไทยอีกที หากว่าปรับเปลี่ยนช่วงล่างหลัง ว่าจะมีอารมณ์ที่แตกต่างออกไปหรือไม่

ระบบเบรกแบบเบรกดิสก์ระบายอากาศ จังหวะการเบรกดี การลดความเร็วแบบกะทันหันรถยังทรงตัวได้ดี แต่ว่าระยะเบรกลึกไปสักหน่อย 

ส่วนรายละเอียดของรถ เวอร์ชั่นออสเตรเลีย น้ำหนักบรรทุกน้อยกว่าปิกอัพไทยที่ใช้แหนบ อยู่ที่ 790 กก.โดยกระบะท้ายมีความจุ 1,200 ลิตร มีความสามารถลากจูงสูงสุด 2.5 ตัน

กระบะท้ายมีช่องจ่ายไฟ 220 V 3 ช่อง จ่ายไฟรวมกันสูงสุด 6 กิโลวัตต์

ออปชั่นเด่น ๆ เช่น จอแสดงข้อมูลผู้ขับขี่ LCD ขนาด 10.25 นิ้ว จอกลางแบบสัมผัสขนาด 15.6 นิ้ว หมุนได้ จอแสดงผลบนกระจกหน้า (W-HUD) เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ระบบพนักพิงดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทาง กระจกหน้าต่างคู่หน้าแบบกันเสียง เครื่องเสียง DYNAUDIO ลำโพง 12 ตำแหน่ง

ระบบความปลอดภัย เช่น  AEB, ESC, TCS, EBD, HDC, FCW, RCW, RCTA, RCTB, FCTA, FCTB, ELKA, BSD, DOW

ถุงลมคู่หน้า, ด้านข้างคู่หน้า, ม่านถุงลมด้านหน้าและด้านหลัง ถุงลมระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า 

กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา แอดพทีฟ ครูส คอนโทรล เซ็นเซอร์ช่วยจอด หน้า 2 จุด, หลัง 4 จุด เป็นต้น