ปรับ

ปรับ

การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำให้สัตว์โลกทั้งหลายต้องทำการปรับตัวตาม สัตว์โลกที่ไม่สามารถปรับตัวตามได้ทัน ก็จะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ เช่น ไดโนเสาร์ หรือไดโนซอรัส สัตว์โลกยุคดึกดำบรรพ์ที่เคยยิ่งใหญ่ครองโลก

แต่เมื่อโลกเรามีการเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ ด้าน และไดโนเสาร์หรือไดโนซอรัสส่วนใหญ่ไม่สามารถปรับตัวได้ มันจึงสูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็ว วงศ์วานว่านเครือที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ปรับตัวลงจนไม่เหลือความยิ่งใหญ่ในอดีตให้เห็น เช่น จิ้งจก, แมลงสาบ ที่นักวิทยาศาสตร์บอกกันว่า พวกมันคือสายพันธุ์ที่สืบทอดมาจากไดโนเสาร์

มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่ออยู่กับธรรมชาติได้ดีที่สุด เพราะนอกจากจะปรับตัวทางธรรมชาติ หรือทางกายภาพแบบสัตว์โลกทั่วไปแล้ว มนุษย์ยังคิดประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ เพื่อช่วยในการปรับตัวอีกด้วย เมื่ออุณหภูมิของโลกเย็นลงจนสัตว์โลกทั้งหลายรู้สึกหนาว บรรดาสัตว์ก็ปรับตัวด้วยการย้ายถิ่นฐานที่อยู่บ้าง ปรับตัวให้มีขนหรือหนังหนา ๆ ขึ้นมาคลุมร่างกายบ้าง ในขณะที่มนุษย์นอกจากจะปรับร่างกายในท่วงทำนองเดียวกันกับสัตว์อื่นๆแล้ว ยังคิดประดิษฐ์เครื่องนุ่งห่ม จนถึงขั้นสร้างที่อยู่อาศัยที่ถาวร และปกป้องความร้อนและเย็นของอากาศได้ 

ที่สุดของที่สุดคือมนุษย์สามารถคิดสร้างเครื่องปรับอุณหภูมิขึ้นมาใช้งานได้ เมื่ออากาศตามธรรมชาติเย็นจัด ก็ใช้เครื่องปรับอุณหภูมิรอบตัวเองให้สูงขึ้น ที่เรียกกันว่าเครื่องทำความร้อนหรือฮีทเตอร์นั่นเอง ในทางตรงกันข้ามหากอากาศร้อนเกินกว่าที่จะรู้สึกสบาย มนุษย์ก็สร้างเครื่องปรับอากาศหรือแอร์คอนดิชั่น เพื่อสร้างอากาศเย็นให้ตัวเองสบาย
ช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงของอากาศ มนุษย์ที่ปรับตัวได้ช้าหรือไม่สามารถปรับตัวได้ก็จะมีอาการเจ็บป่วยไข้ ดังนั้นช่วงรอยต่อของฤดูกาล จึงเป็นช่วงสำคัญที่คนเรา ต้องดูแลสุขภาพให้ดีที่สุด ต้องพยายามไม่ให้ร่างกายต้องเจอความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่ต่างกันมาก 

ซึ่งในชีวิตประจำวันของคนเราทุกวันนี้ ส่วนมากเราจะอยู่ในพื้นที่ปิดซึ่งมีระบบปรับอากาศ การปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศจึงสำคัญ ไม่ใช่ว่าเมื่ออากาศภายนอกทั่วไปร้อน แล้วไปเร่งความเย็นของเครื่องปรับอากาศในรถหรือในบ้าน ให้มีอุณหภูมิต่ำมาก ๆ จนรู้สึกหนาว เพราะหากทำเช่นนั้นเมื่อเราออกจากห้อง หรือลงจากรถยนต์แล้วมาเจออุณหภูมิภายนอกที่แตกต่างกันมาก ร่างกายเราจะปรับตัวไม่ทันและทำให้ป่วยขึ้นมาได้ง่าย

เมื่อพูดถึงการปรับตัวของร่างกายคนเราแล้ว ก็อยากจะพูดถึงการปรับตัวหลาย ๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ด้วย เพราะมีเรื่องให้ต้องถกเถียงกันอยู่เสมอ ๆ กับการปรับข้อมูลบางอย่างของรถยนต์ ที่พบมากที่สุดก็คือเรื่องของการปรับแรงดันลมยาง ด้วยว่าคนใช้รถหลายคนอ้างอิงข้อมูลจากสติกเกอร์ ที่แนะนำเรื่องแรงดันลมยางซึ่งแปะไว้ตามขอบประตู เรื่องนี้ผมเองได้พูดเอาไว้หลายครั้งตลอดมาว่า สามารถปรับเพิ่มหรือลดแรงดันลมยางได้ โดยยึดเอาตัวเลขที่แนะนำบนสติกเกอร์เป็นศูนย์กลาง คือหากจะเพิ่มหรือลดจากตัวเลขที่แนะนำ ก็ทำได้เช่นเพิ่มได้แต่ไม่ควรเกิน ๕ ปอนด์ต่อตารางนิ้ว หรือลดได้แต่ไม่ควรเกินกว่า ๓ ปอนด์ต่อตารางนิ้วจากตัวเลขแนะนำ

อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นที่ถกเถียงกันมากไม่แพ้เรื่องแรงดันลมยาง ก็คือเรื่องของน้ำมันเครื่องที่ต้องเปลี่ยนถ่ายกันตามระยะทางการใช้งานหรือระยะเวลาในการเติมลงไป ข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นมีทั้งเรื่องของชนิดน้ำมันเครื่อง และเรื่องค่าความหนืด โดยชนิดหรือประเภทของน้ำมันเครื่องนั้น มีการโต้แย้งกันในเรื่องของน้ำมันเครื่องที่ใช้กับเครื่องยนต์ประเภทหนึ่ง จะสามารถนำมาใช้กับเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงอีกประเภทหนึ่งได้หรือไม่ 

พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือจะเอาน้ำมันเครื่องที่ระบุใช้กับเครื่องยนต์เบนซินเป็นหลัก ไปใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลหรือเครื่องยนต์ที่ใช้แก๊สประเภทต่าง ๆ ได้หรือไม่ คำแนะนำของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้คือได้ เพราะบรรจุภัณฑ์ที่ใส่น้ำมันเครื่องของบริษัทที่ได้มาตรฐานทุกยี่ห้อ จะมีการแจ้งเอาไว้เสมอว่าสามารถใช้กับเครื่องยนต์เบนซินได้ในระดับมาตรฐานใด และหากนำไปใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลก็สามารถใช้ได้ โดยเปรียบเทียบได้กับมาตรฐานเท่าใด ในการนำไปปรับใช้จึงต้องอ่านที่บรรจุภัณฑ์อย่างละเอียดจนเข้าใจ

ในเรื่องของค่าความหนืดน้ำมันเครื่องก็เช่นกันแม้ว่าปัจจุบันนี้บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลาย จะแนะนำให้ใช้น้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืดต่ำ ๆ กับเครื่องยนต์ของเขา แต่ต้องเข้าใจว่าน้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืดต่ำนั้น คุณสมบัติที่โดดเด่นก็คือลดแรงเสียดทานระหว่างชิ้นส่วน ผลที่ได้รับตามมาก็คือทำให้มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลดลง หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือเครื่องยนต์ทำงานเบาแรงขึ้นจึงกินน้ำมันน้อยลง

แต่ในทางทฤษฎีปรกติทั่วไปนั้น เมื่อเครื่องยนต์ทำงานยิ่งนานเท่าไหร่ หรือทำงานในรอบเครื่องยนต์สูงมากเท่าไหร่ อุณหภูมิของเครื่องยนต์ก็จะสูงขึ้นมากเท่านั้น เมื่ออุณหภูมิของเครื่องยนต์สูงขึ้น อุณหภูมิของน้ำมันเครื่องที่ทำการหล่อลื่นก็สูงตามขึ้นไปด้วย และเมื่ออุณหภูมิของน้ำมันเครื่องสูงขึ้น ขีดความสามารถในการหล่อลื่น หรือความสามารถในการลดแรงเสียดทานก็ลดน้อยลง เพราะฉะนั้นเจ้าของรถยนต์หลายคนที่ใช้รถในพื้นที่ซึ่งมีอากาศร้อน หรือใช้รถในสภาพที่ต้องเค้นกำลังของเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานในรอบที่สูงอย่างต่อเนื่องบ่อย ๆ จึงปรับไปใช้น้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืด หรือมีเบอร์น้ำมันเครื่องสูงขึ้น
เช่นในรถยนต์ที่ผู้ผลิตแนะนำให้ใช้น้ำมันเครื่องเบอร์ 5W 30 เจ้าของรถยนต์ที่คิดว่าตนเองใช้รถในภูมิภาคที่มีอากาศร้อนกว่าประเทศผู้ผลิต ก็อาจจะปรับไปใช้น้ำมันเครื่องเบอร์ 5W 40 ก็ได้ เช่นเดียวกันกับรถยนต์รุ่นเดียวกัน แต่ใช้ต่างพื้นที่ซึ่งมีอุณหภูมิต่างกัน 

เช่น คันหนึ่งใช้บนภูเขาสูงที่มีอากาศเย็นทั้งปี กับอีกคันหนึ่งที่ใช้บนพื้นราบที่อากาศร้อนจัดทั้งปี ก็สามารถปรับใช้น้ำมันเครื่องที่มีเบอร์ต่างกันได้ โดยไม่ผิดแต่อย่างใดครับ