มาสด้า บีที-50 ปรับโฉม เครื่องใหม่ เติมสปอร์ต เนียน คอนโทรลง่าย

ถือว่าขยับตัวเร็วทีเดียวสำหรับมาสด้า บีที-50 กับเครื่องยนต์ใหม่ 2.2 ลิตร ที่มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่เปิดตัวตามหลัง อีซูซุ 2.2 แม็กซ์ฟอร์ซ ไม่นาน
และไม่เฉพาะเครื่องยนต์ใหม่ 2.2 ลิตร และเกียร์ใหม่ อัตโนมัติ 8 สปีด แต่รวมถึงเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ตัวเดิม ที่ปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางอย่างเพิ่มเติม ซึ่งในส่วนของอีซูซุ ก็หันมาใช้ชื่อต่อท้ายเป็น 3.0 แม็กซ์ฟอร์ซ เหมือนกับ 2.2 แม็กซ์ฟอร์ซ ด้วยเช่นกัน
และไม่แค่เครื่องยนต์ใหม่เท่านั้น แต่ มาสด้า บีที-50 ยังมีการปรับโฉม หรือ ไมเนอร์เชนจ์ เติมความสดใหม่เข้าไป สวยไม่สวยก็แล้วแต่ความชอบแต่ละคนครับ ส่วนผมนั้น ผมว่ามันดูดีเลยทีเดียว ดูพรีเมียมและสปอร์ตขึ้น
ครับเป็นที่รู้กันว่าโดยหลัก ๆ แล้ว บีที-50 ซึ่งผลิตโดยอีซูซุ ก็จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่เหมือนกัน แต่ในรายละเอียดตัวถังรูปทรง หรือ การออกแบบภายใน ต่างคนต่างทำ รซึ่งก็ทำให้ บีที-50 นั้นมีเอกลักษณ์ของตัวเอง
โดยบีที-50 ไมเนอร์เชนจ์ มีจำหน่าย 4 รุ่นย่อย เป็นรถแค็บ 1 รุ่น และ 4 ประตู หรือ ดับเบิ้ลแค็บอีก 3 รุ่น ประกอบด้วย
- Freestyle Cab 2.2 XS HI-RACER 6MT ราคา 762,000 บาท
- 2.2 XT HI-RACER 8AT ราคา 992,000 บาท
- 3.0 XTR HI-RACER 6AT ราคา 1,242,000 บาท
- 3.0 XTR 4x4 6AT ราคา 1,352,000 บาท
ซึ่งวันนี้ผมพาไปลองขับเจ้า 2.2 HI-RACER และรุ่น 3.0 ขับเคลื่อน 4 ล้อกันครับ
ก่อนอื่นมาดูภาพรวมของการออกแบบ และออปชั่นหลัก ๆ กันสักนิด ภายนอกไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ ปรับสูง-ต่ำอัตโนมัติ ไฟขับขี่กลางวัน ไฟท้ายแอลอีดี
ภายในห้องโดยสารออกแบบดูเรียบง่ายสะอาดตา ติดตั้ง จอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว ส่วนจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว
ส่วนตัวท็อป ขับเคลื่อน 4 ล้อ เพิ่มความดุดันด้วยคิ้วสีดำเงาที่กันชนหน้า กระจังหน้า ซุ้มล้อ สปอร์ตบาร์ และล้ออัลลอย 18 นิ้ว สีดำ ขณะที่ภายในห้องโดยสารเติมอารมณ์สปอร์ตด้วยเบาะผ้าสีดำกับหนังสีส้ม เพดานหลังคาสีดำ
เสริมความสะดวกในการใช้งานด้วยเบาะฝั่งผู้ขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง มีระบบดันหลัง Lumbar Support ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยรีโมท
ด้านความปลอดภัยมี ADAS ที่ใช้ข้อมูลจากกล้องด้านหน้ 2 ตัว โดยระบบที่มีมาให้เช่นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันทำงานถึงรถหยุดนิ่งและออกตัวใหม่ หรือ Stop & Go ระบบเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนช่องทาง ระบบเตือนรถออกนอกช่องทาง ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง ระบบเตือนการชนด้านหน้า และช่วยเบรกอัตโนมัติ
สำหรับเส้นทางการขับครั้งนี้ ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไปแก่งกระจานและปลายทางที่ทางขึ้นพะเนินทุ่งที่เลยแคมป์บ้านกร่างเข้าไป ซึ่งก็ได้สัมผัสกับเส้นทางที่หลากหลายทั้งทางหลวง ทางชนบท ทางเขา ทางฝุ่น ทางดิน หางหิน
สลับกันขับครับ โดยผมขับ Hi-RACER 2.2 ลิตร ออกจากทางขึ้นพะเนินทุ่งออกมาแถวแก่งกระจาน ซึ่งทางทีี่ใช้คืือ ฝุ่น ดิน หิน ลุยลำธาร 3 แห่ง และถนนลาดยางเล็ก ๆ เส้นทางชนบทและทางเขา
เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบแปรผัน ตัวนี้ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด โดยมีแพดเดิลชิฟต์ให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยตัวเองมาให้ ซึ่งก็เหมาะกบการขับขี่เส้นทางที่มีโค้งเยอะ ๆ หรือทางที่ขึ้นเนินลงเนินชัน ๆ
แต่จริง ๆ แล้วการขับขี่ส่วนใหญ่ใช้เกียร์ D ก็เพียงพอแล้วครับ เกียร์ฉลาดปรับขึ้นลงให้รวดเร็ว แม่นยำ แต่ถ้าเป็นทางชันมาก ๆ จะใช้การปรับเกียร์ด้วยตัวเองก็ได้ หรืออยากสนุกกับจังหวะเข้า_ออกโค้ง จะปรับด้วยตัวเองก็ได้ครับ
เครื่องยนต์ทำงานได้สมูท กับจังหวะการเติมความเร็ว การออกตัวไม่ได้จี๊ดจ๊าดนัก แต่ช่วงการใช้งานจริง ตอบสนองได้ลื่นไหล จังหวะเพิ่มความเร็ว เร่งแซง กำลังมาได้ต่อเนื่อง ไม่ต้องเค้น และการทำงานค่อนข้างเงียบ และนิ่ง การสั่นสะเทือนมีน้อยเมื่อรถจอดนิ่ง ๆ
จังหวะขับขึ้นเนินก็เช่นกัน ไปได้เรื่อย ๆ ไม่ต้องเค้นเครื่องยนต์ก็ขึ้นได้สบาย ๆ
ช่วงล่างเป็นอีกส่วนที่ช่วยให้เป็นปิกอัพที่ขับสนุก เข้า ออกโค้ง ไว้ใจได้ ในระดับความเร็วที่พอสมควร แต่แน่นอนว่ามีการโยนตัวของตัวถังให้รู้สึกได้บ้าง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงลิมิตที่เราควรใช้ แต่เอาเป็นว่ามันไม่ช้าครับในทางโค้งแบบนี้ เป็นปิกอัพที่ให้อารมณ์สปอร์ตในการขับขี่
ขณะที่ในเส้นทางทั่วไป ทางนอกถนน ที่ได้ลองขับ หรือทางที่ผิวถนนไม่ปกติย่านพระราม 2 ซึ่งผมเป็นผู้โดยสารอยู่เบาะด้านหลัง เรื่องความนิ่งและการดูดซับแรงสั่นสะเทือนทำได้ดีเลยครับ นั่งได้สบายตัวกว่าพวกรถเก๋ง หรือ เอสยูวี หลาย ๆ รุ่นที่เป็นที่นิยมอยู่ในเวลานี้ที่จังหวะรถยุบซ้ายทีขวาที ตามสภาพถนน มันทำให้หัวเราโยกไปมานั่งนาน ๆ ก็มึนได้เช่นกัน
ส่วนตัว 3.0 ผมขับสั้น ๆ บนถนนลาดยาง ฟีลลิ่งด้านการควบคุมรถช่วงล่างคล้ายกัน แต่ได้ความกระฉับกระเฉงเพิ่มขึ้นจากเครื่องยนต์ค่อนข้างชัดเจน ตอบสนองเร็วขึ้น ขับสนุกขึ้น
แต่หากไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ผมว่า 2.2 ก็พอแล้ว และยังช่วยให้ประหยัดเวินในกระเป๋าได้อีกไม่น้อยครับ