เพลา

ภาษาไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นภาษาพูดที่ไพเราะคล้ายโน้ตดนตรี
อาจจะเป็นด้วยว่าภาษาไทยมีวรรณยุกต์ให้ไล่ระดับต่างกันถึง 5 โทนเสียง ทำให้เมื่อพูดออกมามีท่วงทำนองหนักเบาสั้นยาว ไม่ต่างจากร้อยกรองหรือเพลงร้องในภาษาอื่นๆ ชาวต่างชาติที่มาฝึกพูดภาษาไทยจึงมักจะประสบปัญหาด้านการออกเสียงตามวรรณยุกต์มากเอาการ
“ใครขายไข่ไก่”, “เช้าฟาดฟักผัด เย็นฟาดผัดฟัก” ฯลฯ จึงเป็นประโยคที่ถูกนำมาล้อเลียนหรือนำมาฝึกฝน ให้ทั้งคนไทยและคนต่างชาติได้หัดพูดภาษาไทยได้ชัดเจน และรวดเร็วโดยไม่ผิดอย่างกว้างขวาง ซึ่งแม้แต่คนไทยที่พูดภาษาไทยมาแต่กำเนิด ยังยากที่จะพูดประโยคทั้งสองได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง
นอกเหนือไปจากระดับเสียงไล่ตามวรรณยุกต์แล้ว ความยากที่จะทำความเข้าใจในภาษาไทยของคนต่างชาติอีกประการหนึ่งคือ คนไทยเป็นชาติที่ร่ำรวยคำศัพท์และช่างประดิดประดอยร้อยคำขึ้นมา เป็นชนชาติที่รู้กันว่าเจ้าบทเจ้ากลอนชอบต่อปากต่อคำ แถมหลายครั้งคำๆ เดียวกันสะกดเหมือนกันออกเสียงเหมือนกันทุกประการ ยังมีความหมายแตกต่างกันออกไปจนยากจะเข้าใจ หากว่าไม่นำมาใช้สื่อสารถึงกันทั้งประโยค
ตัวอย่างเช่นคำว่า “เดือน” ซึ่งหมายความได้ถึงช่วงเวลาซึ่งมีจำนวน 12 เดือนใน 1 ปี หรืออาจจะหมายความถึงพระจันทร์บนท้องฟ้าก็ได้เช่นเดียวกัน โดยที่เขียนเหมือนกันและอ่านออกเสียงเหมือนกันทุกประการ หรือในความหมายเดียวกันก็สามารถเลือกใช้คำพูดได้หลากหลาย เช่น กิน,แดก,ยัด,รับประทาน,สวาปาม,งาบ ฯลฯ ทั้งหมดนี้น่าจะหาได้จากภาษาไทยเพียงภาษาเดียวเท่านั้น
คำบางคำในภาษาไทยก็หายไปจากการรับรู้ของผู้คนตามกาลเวลา หรือจะบอกว่าหลายคำหายไปตามเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เข้ามาแทนที่ก็คงจะว่าได้ โดยเฉพาะคำที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือเครื่องไม้ซึ่งถูกนำมาจากภาษาต่างประเทศทั้งหลาย และคำศัพท์ที่ใช้กันในวงการยานยนต์ทั่วไป เช่น คาร์บูเรเตอร์, โช้ค, นมหนู, หัวนกกระจอก, ทองขาว ฯลฯ
เมื่อเขียนว่าเพลาตามหัวข้อเรื่องในวันนี้ หากเขียนขึ้นมาลอยๆไม่มีประโยคมารองรับ ก็สามารถแปลได้สองอย่างตามการออกเสียงอ่าน อ่านอย่างแรกคืออ่านแยกกันว่า เพ-ลา ก็จะหมายความเช่นเดียวกันกับคำว่าเวลา หรือมีความหมายว่ากาลเวลานั่นเอง แต่หากออกเสียงควบรวมกันไปว่า “เพลา” ก็จะมีความหมายถึงแกนหรือแท่งที่หมุนรอบตัวเองในเครื่องจักรต่างๆ หรือหากเป็นราชาศัพท์ก็หมายถึงหน้าแข้งเช่น สนับเพลาเป็นต้น
เอ่ยหรือเกริ่นมายืดยาวเพราะผมได้รับคำถามเกี่ยวกับเพลาที่ไม่ใช่ เพ-ลา ว่า ระหว่างรถ 2 เพลากับเพลาเดียวต่างกันอย่างไร และเพลาท่อนเดียวกับเพลา 2 ท่อนต่างกันอย่างไร อย่างไหนดีกว่ากัน
ผมขอเริ่มต้นที่คำถามแรกก่อนว่า คำว่ารถเพลาเดียวและรถ 2 เพลานั้นไม่ได้หมายความว่ารถคันนั้นๆ มีเพลาอันเดียวหรือ 2 อัน แต่คำว่าเพลาในคำถามนั้นจำเพาะเจาะจงที่จะถามว่า รถคันนั้นๆ ขับเคลื่อนด้วยเพลาหลักกี่เพลา ตัวอย่างเช่นรถปิกอัพขับเคลื่อน 4 ล้อก็จะถูกเรียกว่ารถ 2 เพลา
ทั้งที่ในความเป็นจริงรถดังกล่าวมีทั้งเพลาขับที่ล้อหน้า 2 อันซ้ายและขวา มีเพลากลางถ่ายทอดกำลังจากเกียร์ไปยังเฟืองท้าย มีเพลาท้ายแยกไปที่ล้อซ้ายและขวา หรือสรุปได้ว่าในรถขับเคลื่อน 4 ล้อแต่ละคัน มีเพลาอยู่ไม่น้อยกว่า 5 อัน ไม่รวมเพลาราวลิ้นและเพลาข้อเหวี่ยง หรือในรถบรรทุกสิบล้อที่ขับเคลื่อนด้วย 8 ล้อหลัง ก็จะถูกเรียกว่าเป็นรถแบบ 2 เพลาเช่นกัน
เพราะนอกจากจะมีเพลากลางถ่ายทอดกำลังมาจากเกียร์แล้ว ยังมีเพลาที่ล้อคู่หลังซึ่งต่อมาจากเฟืองท้าย ไปขับเคลื่อนล้ออีก 8 ล้อที่ปลายเพลาทั้งหลาย รถสองเพลาจึงไม่ใช่รถยนต์ที่มีเพลาเพียงแค่ 2 อันเท่านั้น
ส่วนคำถามที่ว่ารถเพลาท่อนเดียวกับเพลา 2 ท่อนต่างกันอย่างไร คำถามนี้น่าจะหมายถึงรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งต้องมีเพลากลางเป็นตัวถ่ายทอดกำลังจากเกียร์ไปสู่ล้อหลังทั้งซ้ายและขวา แต่ด้วยความที่ความต่างขององศามุมงัดระหว่างด้านท้ายของเกียร์ กับข้อต่อหรือจอยท์ หรือกากบาทที่ด้านหน้าของเฟืองท้ายที่ต่างกันมาก จนทำให้เพลางัดกับด้านใดด้านหนึ่งทำให้เกิดความเสียหายขึ้นมาได้
วิศวกรยานยนต์จึงคิดให้ลดความต่างขององศาดังกล่าวลง โดยการทำให้มีเพลาสองท่อนมาทำการถ่ายทอดกำลังร่วมกัน ท่อนแรกจากด้านท้ายของห้องเกียร์ไปยังตำแหน่งกลางลำตัวของรถ อีกท่อนหนึ่งรับช่วงต่อจากท่อนแรกไปยังเฟืองท้าย ด้วยการค่อยๆ ลดมุมลงทีละน้อยจากเพลาแต่ละท่อน ซึ่งจะช่วยลดการงัดของเพลาที่กระทำต่อเกียร์หรือเฟืองท้าย และลดความเสียหายลงไปได้นั่นเองครับ